ไฟเขียว สัญญาณจากฟ้า พระสยามเทวาธิราช: สามคดีใหญ่บนโรงงานผลิตข่าวลือแห่งชาติ!
สามคดีใหญ่ของพ่อลูกชินวัตร แม้วันพิพากษายังมาไม่ถึง แต่ “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”กลับแซงหน้าศาลไปหลายช่วงตัว เมื่อเรื่องเล่าถูกป้อนลงสายพานโรงงานข่าวลือจนดังกว่าข้อกฎหมาย คำถามคือ… เราจะรอความจริงจากศาล หรือปล่อยให้ประเทศนี้ล่องลอยไปกับ สัญญาณจากฟ้าไปชั่วนิรันดร์?
ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนถนนสองเลนขนานกัน เลนหนึ่งคือ การเมืองที่ร้อนแรงอีกเลนหนึ่งคือ ข่าวลือที่ร้อนยิ่งกว่าปรากฏการณ์ “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”กลายเป็นคำที่วนเวียนอยู่ในบทสนทนาของคอการเมือง ทั้งในวงกาแฟและโลกโซเชียล
สามคดีใหญ่ที่กำลังรอคำวินิจฉัย คือ คดีมาตรา 112ของ ทักษิณ ชินวัตร(22 ส.ค.) คดีคลิปเสียง แพทองธาร–ฮุนเซน(29 ส.ค.) และ คดีบังคับโทษชั้น 14ของทักษิณ (9 ก.ย.) ถูกจับมารวมกันเป็น ชุดความเชื่อว่า “น่าจะรอดครบ”เสียงที่ดังที่สุดไม่ใช่จากศาล แต่จาก โรงงานผลิตข่าวลือซึ่งกำลังทำงานล่วงหน้าเต็มกำลัง
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายตรงข้ามทักษิณ ต่างก็หยิบเอา “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”มาอ้างเข้าข้างตัวเอง เหมือนโรงงานนี้มีสายพานผลิตได้ตามออร์เดอร์ทางการเมือง ใครต้องการตีความแบบไหน ก็มีชิ้นส่วนพร้อมประกอบให้เสร็จสรรพ
นี่คือจุดเริ่มต้นของคำถามใหญ่ เมื่อ ข่าวลือถูกผลิตซ้ำจนดังยิ่งกว่าคำพิพากษา เส้นแบ่งระหว่างข้อเท็จจริงกับเรื่องเล่าจะเหลืออยู่แค่ไหน
ความเชื่อว่า “รอดครบสามคดี”ไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกขั้วการเมืองต่างก็หยิบสัญลักษณ์เดียวกันมาใช้ เพียงแต่หันปลายลูกศรตีความไปในทิศที่ตัวเองอยากให้เป็น
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณและแพทองธาร อ้างว่าเป็นเพราะ บารมีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง บางคนถึงขั้นอ้างถึง “พระสยามเทวาธิราช”มาเป็นแรงอธิษฐานให้แพทองธารผ่านคดีสำคัญโดยปลอดภัย
ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็ใช้คำอย่าง “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”เป็นข้ออ้างว่ามีแรงหนุนอยู่ข้างหลัง แม้จะไม่มีหลักฐานสักชิ้น แต่ก็เล่าต่อกันได้อย่างต่อเนื่องราวกับเป็นบันทึกประวัติศาสตร์
สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งสองฝั่งไม่ได้หยุดคิดว่าตัวเองอาจกำลังสร้าง พื้นที่ข่าวลือให้ขยายใหญ่ขึ้นจนกลบข้อเท็จจริง ผลลัพธ์คือ โรงงานผลิตข่าวลือเดินเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่สนว่าคำตัดสินจริงๆจะออกมาอย่างไร
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า สังคมไทยเชื่อสิ่งที่สอดคล้องกับใจมากกว่าสิ่งที่ออกมาจากศาลและนั่นเองที่ทำให้ “ไฟเขียว” กับ “สัญญาณจากฟ้า” กลายเป็นทั้งอาวุธและเครื่องปลอบประโลมในคราวเดียวกัน
เมื่อคำว่า “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”ถูกใช้จนชินหู เราแทบลืมไปว่ามันไม่มีที่มาจากเอกสารราชการ หรือคำประกาศอย่างเป็นทางการใดๆ ทั้งสิ้น แต่มาจาก การเล่าต่อและการมโนตีความของผู้เล่นทางการเมืองและผู้ตามข่าว ที่ต้องการอธิบายสิ่งซับซ้อนให้สั้น ง่าย และถูกใจฝั่งตัวเอง
นี่คือหัวใจของ โรงงานผลิตข่าวลือความสะดวกในการเชื่อ เพราะไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ต้องอ้างอิง แต่สามารถใช้เป็นข้อสรุปได้ทันที เมื่อคนนับร้อยนับพันพร้อมใจกันแชร์ สิ่งที่เป็นเพียง “เรื่องเล่า”ก็แปลงร่างเป็น “ความจริงทางความรู้สึก”ได้ในพริบตา
และแม้คำพิพากษาจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เสียงเชียร์หรือเสียงปรามาสที่พ่วงด้วย “สัญญาณจากฟ้า”ก็เริ่มเขียนบทสรุปล่วงหน้าให้คดีทั้งสามไปเรียบร้อยแล้ว ผลก็คือ คนจำนวนไม่น้อยตั้งรับหรือฉลองล่วงหน้า ก่อนที่ศาลจะเอ่ยประโยคแรกของคำตัดสินด้วยซ้ำ
ทุกครั้งที่มีการเล่าล่วงหน้าว่าผลจะออกมาอย่างไร มันไม่ได้สร้างบาดแผลให้คำตัดสิน แต่สร้าง ความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนซึ่งสุดท้ายกระทบต่อ ความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม
ปรากฏการณ์ที่ “ข่าวลือดังยิ่งกว่าคำพิพากษา”ไม่ใช่เพียงเรื่องขำขันในวงสนทนา แต่มันคือ กับดักทางการเมืองที่ค่อยๆ ขยายขนาด
เพราะเมื่อคนเริ่มเชื่อว่า ผลคดีถูกกำหนดจาก “ไฟเขียว” หรือ “สัญญาณจากฟ้า” มากกว่าหลักฐานและข้อกฎหมายก็เท่ากับว่าเรากำลังยอมให้ตรรกะการเมืองไปครอบงำความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม
แม้คำพิพากษาจะออกมาอย่างไร ความเชื่อเหล่านี้มักถูกสานต่อโดยทันที ฝ่ายแพ้ก็มีเหตุผลรองรับว่าตนแพ้เพราะไม่ได้ไฟเขียว ฝ่ายชนะก็อ้างว่าเพราะสัญญาณจากฟ้า ทั้งที่ในความเป็นจริง ศาลตัดสินบนพื้นฐาน พยานหลักฐานและ ข้อกฎหมายที่ผ่านกระบวนการไต่สวน
นี่คืออันตรายที่ซ่อนอยู่ เมื่อ คำอธิบายแบบเล่าต่อกลายเป็นหลักในการตีความทุกเหตุการณ์ ความเคารพในคำตัดสินจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วย ความสงสัยแบบไม่มีหลักฐานและเมื่อสิ่งนี้เกิดซ้ำ มันจะกัดกร่อนความมั่นคงของสังคมอย่างต่อเนื่อง
ในอีกมุมหนึ่ง คนที่มองว่าการเมืองไทยเต็มไปด้วย ดีลลับเครือข่ายอำนาจ และระบบอุปถัมภ์ ก็มักใช้ “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”เป็นภาษากลางในการอธิบายทุกการตัดสินใจของศาล
พวกเขาเชื่อว่า คำตัดสินไม่เคยเป็นเพียงผลลัพธ์ของการพิจารณาคดี แต่คือผลจาก แรงกดดันการต่อรอง และข้อตกลงที่มองไม่เห็น
ด้วยเหตุนี้ แนวคิดที่ว่ากระบวนการยุติธรรมสามารถเดินไปตามเส้นตรงของกฎหมาย จึงมักถูกมองว่าเป็นเพียง ภาพฝันที่สวยเกินจริงในสายตาของคนที่เชื่อว่าการเมืองไทยเต็มไปด้วยทางลัดและทางลับที่ไม่อยู่ในตำรา
อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญกับ ข้อเท็จจริงและ หลักฐานไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของเกมอำนาจ แต่เพราะหากยอมให้ ข่าวลือมีน้ำหนักเท่ากับคำพิพากษาเราก็กำลังทำลายรากฐานของความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมเอง
สามคดีใหญ่ มาตรา 112ของทักษิณ, คดีบังคับโทษชั้น 14และ คดีคลิปเสียงแพทองธาร–ฮุน เซนกำลังเป็นศูนย์กลางความสนใจของทั้งประเทศ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ข่าวลือเรื่อง “ไฟเขียว”และ “สัญญาณจากฟ้า”ก็พร้อมถูกหยิบมาใช้เป็นบทสรุปทันที
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตก็มีคดีที่ถูก เล่าต่อในทำนองเดียวกัน ทุกครั้งที่มันเกิด สิ่งที่สั่นคลอนคือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการที่ควรเป็นหลักประกันความยุติธรรมของทุกคน และนี่คืออันตรายต่อระบบยุติธรรมมากกว่าผลแพ้ชนะของคดีใดๆ
การเมืองอาจเต็มไปด้วย การต่อรองและ ทางลับแต่ถ้าเราปล่อยให้ เรื่องเล่าและข่าวลือ กลายเป็นกฎหมายเงาเหนือคำพิพากษา เราก็ต้องเตรียมรับสภาพวันที่ไม่มีใครเชื่อว่ากฎหมายคือกฎหมายจริงๆ
สามคดีนี้จึงเป็น บทพิสูจน์ของสังคมไทยทั้งหมดว่าเราจะยอมรับผลตามเนื้อผ้า หรือจะเลือกยึดโยงตัวเองกับ “สัญญาณจากฟ้า”ไป ชั่วนิรันดร์.