ก้าวแรกรัฐบาลอนุทิน กับ 2 แผลใหญ่ทางการเมือง!!
การเมืองไทยเดินมาถึงอีกจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรเตรียมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยชื่อที่ถูกจับตามากที่สุดคือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายใต้แรงหนุนหลักจากพรรคประชาชน
หากเกมโหวตผ่านไปอย่างราบรื่น นี่คือก้าวแรกของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของอนุทินท่ามกลางเงาสลัว เพราะเบื้องหลังชัยชนะทางการเมืองครั้งนี้ ยังมี“2บาดแผลใหญ่” ที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของรัฐบาล
บาดแผลแรกคือ คดีที่ดินเขากระโดง ที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2560 เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาชัดเจนว่าที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ของเอกชน แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การเพิกถอนโฉนดกลับแทบไม่คืบหน้า ทั้งที่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการปล่อยปละละเลย
ล่าสุดเดือนสิงหาคม 2568 ภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาแถลงย้ำว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของรัฐ และได้สั่งการให้กรมที่ดินเร่งดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบ คำแถลงนี้ไม่เพียงกดดันกลไกของรัฐ แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อพรรคภูมิใจไทย เพราะสังคมเชื่อมโยงโดยตรงกับตระกูลชิดชอบ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญของพรรค
กรณีเขากระโดงจึงกลายเป็น“แผลใหญ่ทางการเมือง” ของภูมิใจไทยในสายตาประชาชน การถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับการบุกรุกที่ดินสาธารณะ ทำให้ความน่าเชื่อถือถูกกัดกร่อน ยิ่งเมื่อกระทรวงมหาดไทยอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองโดยตรง ประเด็นนี้ยิ่งถูกขยายผลเป็นอาวุธในการโจมตี
บาดแผลที่สองคือ คดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลางซึ่งร่วมมือกันระหว่าง กกต. และ DSI ได้สรุปสำนวนส่งให้ กกต. ชุดใหญ่พิจารณา โดยระบุรายชื่อผู้ถูกกล่าวหามากถึง 229 คน แบ่งออกเป็น ส.ว. 138 คน และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยรวมถึงเครือข่ายอีก 91 คน กระทำผิดตามมาตรา 70 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.
เมื่อไหร่ที่สำนวนคดีในมือ กกต. ถูกส่งต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และมีการประทับรับฟ้อง ส.ว. 138 คนอาจถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
ขณะเดียวกัน การที่กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยถูกระบุชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา ทำให้ภาพลักษณ์พรรคถูกโยงเข้ากับพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส จนเกิดแรงกดดันอย่างรุนแรงจากสังคม
การถูกตั้งคำถามว่าพรรคเกี่ยวพันกับการฮั้วเลือกตั้ง ทำให้คดีนี้ถูกมองว่าอาจลุกลามไปถึงการยุบพรรค หาก กกต. และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไปในทิศทางดังกล่าว
เมื่อสองคดีมารวมกัน กลายเป็นเงาทะมึนที่ปกคลุมอนาคตของรัฐบาลใหม่ ภาพของอนุทินที่กำลังจะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จึงไม่ใช่ภาพที่สง่างามไร้รอยด่าง หากแต่เป็นภาพของผู้นำที่เริ่มต้นก้าวแรกด้วยการถูกสังคมตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส และมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง
พรรคเพื่อไทยในฐานะคู่แข่งโดยตรงย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ มีการคาดการณ์ว่าหลังอนุทินได้รับการโหวตเป็นนายกฯ จะมีการรวมรายชื่อ ส.ส. เพื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของอนุทิน โดยใช้เหตุผลว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ละเมิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตอันเป็นที่ประจักษ์ ด้วยการอ้างอิงจากทั้งคดีเขากระโดงและคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.
ทันทีที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวหากเกิดขึ้น จะกลายเป็นแรงกระแทกครั้งใหญ่ต่อรัฐบาลที่ยังไม่ทันเริ่มทำงาน
ดังนั้นแม้เส้นทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของอนุทินจะใกล้ความจริง แต่การเมืองไทยไม่เคยมีชัยชนะที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก้าวแรกของรัฐบาลใหม่อาจกลายเป็นก้าวที่สะดุด หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและมีคำสั่งเบื้องต้นให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับผู้นำคนก่อน ๆ
บทวิเคราะห์จากหลายฝ่ายจึงมองตรงกันว่า รัฐบาลอนุทินกำลังจะเริ่มต้นด้วยภาระหนักหน่วงกว่ารัฐบาลใดในอดีต เพราะไม่เพียงต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังต้องต่อสู้กับ “สองแผลใหญ่ทางการเมือง” ที่กัดกร่อนความน่าเชื่อถือ และไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่ทำเนียบ
#อนุทิน #ภูมิใจไทย #เขากระโดง #ฮั้วเลือกตั้งสว #พรรคเพื่อไทย #ข่าวการเมืองล่าสุด #นายกรัฐมนตรีคนที่32