ส่องอัตราโทษ “เมาแล้วขับ” ลงโทษไม่ปรานี-มีสิทธิปฏิเสธการตรวจได้จริงหรือ?
การเมาแล้วขับยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่คร่าชีวิตและสร้างความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น เพื่อป้องปรามและลดจำนวนผู้กระทำผิด แต่เราก็ยังคงเห็นการกระทำผิดดังกล่าวออกมาให้เห็นตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เป็นระยะ ด้วยคิดว่าใกล้-ไม่เป็นไร แต่กลับส่งผลร้ายมากกว่าที่คิด!
ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ถือว่า "เมาแล้วขับ"
ตามกฎหมายจราจรทางบกของประเทศไทย ผู้ขับขี่จะถูกถือว่าเมาสุรา หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยมีเกณฑ์ดังนี้
-โดยทั่วไป ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
-สำหรับผู้ขับขี่บางกลุ่ม (เช่น ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่, ผู้มีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราว, ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี, หรือผู้ที่อยู่ระหว่างพักใช้/เพิกถอนใบขับขี่) ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
กระบวนการจับกุมและการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่าผู้ขับขี่อาจเมาสุรา จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1.การเรียกหยุดรถและการสังเกตการณ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการเรียกหยุดรถผู้ขับขี่ และสังเกตพฤติกรรมเบื้องต้น เช่น การพูดจา การทรงตัว หรือกลิ่นสุรา
2.การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์เบื้องต้น เจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องวัดแอลกอฮอล์แบบพกพา (เครื่องเป่า) เพื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจ หากพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่าเมาสุรา จะถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจหรือจุดตรวจที่จัดเตรียมไว้เพื่อตรวจวัดอย่างละเอียด
3.การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์อย่างละเอียด ที่สถานีตำรวจหรือจุดตรวจ จะมีการใช้เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรอง เพื่อยืนยันปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดอย่างแม่นยำ
สิทธิในการปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์
เป็นคำถามที่พบบ่อยว่าประชาชนมีสิทธิปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์หรือไม่ คำตอบคือ หากผู้ขับขี่ปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์โดยไม่มีเหตุผลอันควร กฎหมายจะสันนิษฐานว่าบุคคลนั้นเมาแล้วขับ ซึ่งมีโทษเช่นเดียวกับการเมาแล้วขับ และในบางกรณีอาจมีอัตราโทษที่หนักกว่าด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ได้ และหากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่ากระทำผิด
อัตราโทษทางกฎหมายของการเมาแล้วขับ
บทลงโทษสำหรับการเมาแล้วขับมีการกำหนดไว้ตามกฎหมายอย่างชัดเจน และจะรุนแรงขึ้นตามพฤติการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้น
1.กรณีเมาแล้วขับ (ไม่มีเหตุอันตราย)
กระทำผิดครั้งแรก
-จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000–20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
กระทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับจากวันกระทำผิดครั้งแรก
-จำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000–100,000 บาท (โดยศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วย)
-ถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
2.กรณีเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
-จำคุกตั้งแต่ 1–5 ปี
-ปรับตั้งแต่ 20,000–100,000 บาท
-ถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
-จำคุกตั้งแต่ 2–6 ปี
-ปรับตั้งแต่ 40,000–120,000 บาท
-ถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
3.กรณีเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
-จำคุกตั้งแต่ 3–10 ปี
-ปรับตั้งแต่ 60,000–200,000 บาท
-ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ทันที
ในส่วนของ "การยึดรถของกลาง" บางกรณีทางอัยการสูงสุดอาจกำหนดแนวทางดำเนินคดีให้เพิ่มข้อหาและริบรถของกลาง เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน แต่นอกเหนือจากโทษทางอาญาแล้ว ผู้เมาแล้วขับยังต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งที่เกิดขึ้นกับคู่กรณีและทรัพย์สินด้วย และยังมี"ผลต่อประวัติอาชญากรรมของผู้กระทำผิด" เพราะคดี "เมาแล้วขับ" ถือเป็นความผิดทางอาญา
กฎหมายเมาแล้วขับในประเทศไทยมีการบังคับใช้ที่เข้มงวดและมีบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยให้พ้นผิด แต่กลับถูกสันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ ซึ่งมีโทษไม่ต่างกัน ทางที่ดีที่สุดคือ "ไม่ดื่ม ไม่ขับ" เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ..