เหยื่อเปิดปาก-ข้อมูลเปิดโปง นรก…ศูนย์สแกมเมอร์กัมพูชา
เร็วๆ นี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกรายงานล่าสุดที่สอดคล้องกัน เกี่ยวกับการเปิดโปงวงจรอุตสาหกรรมมืดในกัมพูชา ในรูปแบบที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ค่ายแรงงานยุคดิจิทัล” โดยระหว่าง เดือน ก.ย. 66-พ.ค. 68 แอมเนสตี้ฯ ระบุมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตจาก “ศูนย์สแกมเมอร์” 58 คน ซึ่งรายงานว่าถูกกักขังใน 31 ศูนย์ที่แตกต่างกัน กระจายอยู่ใน 18 เมืองทั่วกัมพูชา
“ทีมข่าวอาชญากรรม” หยิบยกบางส่วนของรายงานความยาวกว่า 240 หน้า ชื่อ “ฉันคือทรัพย์สินของคนอื่น” มานำเสนอโดย มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ ผอ.ฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคของแอมเนสตี้ฯ เผยข้อเท็จจริงน่าตกใจเกี่ยวกับศูนย์สแกมเมอร์อย่างน้อย 53 แห่ง ที่ดำเนินการคล้ายค่ายกักกันกลางเมือง มีชาวต่างชาติจำนวนมากถูกหลอกมาทำงาน กลับถูกกักขัง บังคับให้ทำงานออนไลน์ผิดกฎหมาย ทั้งหลอกขายสินค้า หลอกลงทุน หรือหลอกให้รักเพื่อโอนเงิน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในขบวนการ“หลอกหมูขึ้นเขียง” เน้นเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติทั่วโลก
ลิซ่า (นามสมมุติ) หญิงไทยวัย 18 ปี ผู้รอดจากวงจร เป็นตัวอย่างบอกเล่าพฤติกรรมถูกหลอกทำงานออนไลน์ ถูกขัง ถูกซ้อม หลังตั้งใจหางานทำช่วงปิดเทอม หวังแบ่งเบาภาระครอบครัว ถูกนายหน้าบอกว่าจะได้ทำงานแอดมิน เงินเดือนดีมาก ส่งรูปโรงแรมที่มีสระว่ายน้ำมาให้ดู แต่ทันทีที่ลักลอบข้ามไปฝั่งกัมพูชา ตลอด 11 เดือน ถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ ถึง 7 แห่ง
เคยพยายามหนี 2 ครั้ง แต่สุดท้ายโดนจับตัวกลับเข้าไปห้องที่เรียกกันว่า “ห้องมืด” ก่อนถูกชาย 4 คน ใช้ท่อนเหล็กทำร้าย ในศูนย์ฯ มีแรงงานหลายพันคนทำงานภายใต้คำสั่งของผู้จัดการที่มีทั้งชาวไทยและจีน มีเจ้าหน้าที่ถืออาวุธคอยควบคุมตลอด
จากรายงานแอมเนสตี้ฯ ที่ใช้เวลา 18 เดือน ลงพื้นที่ตรวจสอบศูนย์สแกมเมอร์ทั่วกัมพูชา ระบุถึงการมีอยู่ของศูนย์อย่างน้อย 53 แห่ง และอีก 45 แห่ง ต้องสงสัยว่ามีโครงสร้างคล้ายกัน ศูนย์เหล่านี้มักตั้งอยู่ในอาคารที่เคยเป็นกาสิโน โรงแรม หรือตึกสำนักงาน ถูกดัดแปลงให้เป็นพื้นที่ปิด มีลวดหนาม กล้องวงจรปิด และยามถือกระบองไฟฟ้าคอยจับตา สภาพไม่ต่างจากเรือนจำ ใครไม่ยอมทำงาน จะถูกส่งไปห้องเฉพาะทาง มีไว้สำหรับ “ทรมาน” โดยเฉพาะ
จาก 58 ผู้รอดชีวิตที่ให้ข้อมูล มีอย่างน้อย 40 คน ถูกทรมาน และเด็ก 9 คน ในกลุ่มนี้มีถึง 5 คน ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงที่ถูกบังคับให้ทำงาน ซ้ำถูกขายต่อไปยังศูนย์อื่นๆ หากทำยอดไม่ตามเป้าจะถูกลงโทษอย่างอย่างหนัก
สิตี ชายชาวเวียดนาม เป็นหนึ่งผู้รอดชีวิตที่บอกเล่าเหตุการณ์ที่พบเห็นเพื่อนถูกซ้อมนาน 25 นาทีจนลุกไม่ขึ้น และถูกขายต่อเหมือนสินค้า
รัฐที่ไร้การปกป้อง “รับรู้” แต่ไม่หยุดยั้ง
ตามรายงานชี้ว่า แม้กัมพูชาแสดงท่าทีว่า “กำลังแก้ไข” แต่รายงานล่าสุดของแอมเนสตี้ฯ เผยว่ามาตรการนั้นนอกจากไม่เพียงพอ ยังอาจมีส่วน “สมรู้ร่วมคิด” โดยทางอ้อมในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยกัมพูชาอ้างได้ดำเนินมาตรการผ่าน คณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์แห่งชาติ (NCCT) แต่ในจดหมายตอบกลับแอมเนสตี้ฯ เมื่อ พ.ค. 67 NCCT ระบุปี 67 ถึงต้นปี 68 ได้รับ 3,553 คำร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ รวมถึงบุคคลจาก 33 สัญชาติ รวม 6,584 คน มีเพียง 3,008 คน ที่ได้รับความช่วยเหลือ ที่เหลืออีกจำนวนมากไม่สามารถระบุตัว หรือเข้าถึงได้เพราะขาดข้อมูล
นอกจากนี้ การกวาดล้างศูนย์สแกมเมอร์ต่างๆ ไปแล้ว 28 แห่ง แต่รายงานแอมเนสตี้ฯ พบมากกว่า 2 ใน 3 ที่ถูกตรวจสอบ ยังดำเนินการปกติ แม้เคยถูกบุกเข้าช่วยเหลือแล้วก็ตาม
ความล้มเหลวของรัฐกัมพูชา
แอมเนสตี้ฯ สรุปท่าทีการตอบสนองของรัฐกัมพูชาต่อวิกฤติที่เรียกว่าล้มเหลวอย่างร้ายแรง จากการที่ไม่สามารถตรวจสอบกรณีค้ามนุษย์ การเป็นทาส การใช้แรงงานเด็ก และการทรมานที่เกิดขึ้นในศูนย์สแกมเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้มีสัญญาณเตือนและหลักฐานชัดเจน ผู้ที่รอดออกมายังไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “เหยื่อค้ามนุษย์” หรือถูกช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ขัดหลักสิทธิมนุษยชนสากล
นอกจากนี้ ยังมีรายงานหลายชิ้นชี้ว่ารัฐ มีท่าทียอมรับหรือปล่อยผ่าน ต่อการกระทำที่เข้าข่ายทรมาน เช่น ห้องมืด การซ้อมและการข่มขู่ทางเพศ ภาพรวมจึงอาจไม่ใช่เพียงการเพิกเฉย แต่การรับรู้ถึงอาชญากรรม แต่ไม่ป้องกัน หรือสืบสวนอย่างเหมาะสม อาจถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยปริยาย ทั้งนี้ การที่ตำรวจไม่เข้าไปตรวจสอบจริง แต่เลือกพบผู้จัดการศูนย์ที่หน้าประตูเพื่อ “รับตัวเหยื่อ” แทนการสอบสวนเชิงลึก จึงเป็นเพียงภาพลวงตาของการบังคับใช้กฎหมาย
ประจาน 53 ศูนย์นรก แต่รัฐหยุดได้เพียง 2
ในขณะที่ประกาศกร้าวกำลังปราบปราม แต่แอมเนสตี้ฯ กลับเผยข้อมูลน่าตกใจที่ความพยายามแทบไร้ประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลต่อการยุติการละเมิด จากการตรวจสอบศูนย์สแกมเมอร์ 53 แห่งทั่วประเทศ พบมากกว่า 1 ใน 3 (ราว 20 แห่ง) เคยมีเจ้าหน้าที่“เข้าแทรกแซง” อย่างน้อย 1 ครั้ง แต่การละเมิดสิทธิยังคงเกิดขึ้น เข้าตรวจสอบอีก 18 แห่ง หรือ 1 ใน 3 ยังไม่เคยมีการเข้าตรวจสอบเลย และอีก 13 แห่ง มีความเคลื่อนไหวจากรัฐระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถระบุผลลัพธ์ว่ายุติหรือไม่ มีเพียง“2 แห่ง” เท่านั้นที่เชื่อว่าถูกปิดลงจริง หลังรัฐเข้าไปดำเนินการ
ต้องไม่มี 'ลิซ่าคนต่อไป'
กรณี “ลิซ่า” ที่ออกจากบ้านไปหางานทำช่วงปิดเทอม แต่กลับตกไปอยู่ในวงจรอาชญากรรมข้ามชาติและถูกทรมานนาน 11 เดือน ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครอีก ดังนั้น มองว่าหากรัฐบาลกัมพูชายังไม่เร่งยกระดับเชิงรุก เพื่อตรวจสอบ ปิดศูนย์ ระบุตัวเหยื่อ และเยียวยา เหยื่อรายใหม่จะยังเพิ่มขึ้นรายวัน
แอมเนสตี้ฯ ทิ้งท้ายข้อเรียกร้องรัฐบาลของประเทศต้นทางที่มีพลเมืองตกเป็นเหยื่อ ไม่ว่าไทย เวียดนาม จีน มาเลเซีย อินเดีย หรือฟิลิปปินส์ ต้องยกระดับการคุ้มครองผู้หางานในต่างแดน พร้อมเข้าช่วยเหลือและฟื้นฟูเหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน