สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับฟังความเห็นร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ป.วิ.อาญา หลายฝ่ายห่วงเพิ่มขั้นตอน ทำคดีล่าช้า ไม่เป็นธรรม
วานนี้ (26 มิถุนายน) ที่ศูนย์ฝึกตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี) ร่วมกันเปิดเวทีเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ‘การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา’
เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ร่างของ สส. พรรคประชาชน) โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน
การเสวนาครั้งนี้เป็นเวทีสุดท้ายจากทั้งหมด 4 ครั้งที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ก่อนหน้านี้มีการจัดเสวนาในภาคกลาง (นครปฐม), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น) และภาคใต้ (ภูเก็ต) โดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายให้รอบด้านและครอบคลุมทุกภูมิภาค
ภายในงานมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงพนักงานสอบสวนและข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 และ ภาค 6 นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปราย อาทิ เปรมศักดิ์ ศรีนวล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครสวรรค์, พล.ต.ท. ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ ตร., ดร.ชำนาญ ชาดิษฐ์ กรรมการอำนวยการ สำนักงานธนานุเคราะห์, ผศ.เครือวัลย์ อินทรสุข ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, โสฬส วัฒนศิลป์ กต.ตร.จังหวัดนครสวรรค์ และ พ.ต.อ. ดร.เทิดสยาม บุญยะเสนา ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5
ข้อกังวลสำคัญจากเวทีเสวนา
ร่างแก้ไข ป.วิ.อาญา มีสาระสำคัญคือ การให้อำนาจอัยการกำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวน เช่น การกำหนดให้พนักงานสอบสวนแจ้งพนักงานอัยการทันทีที่พบเหตุ หรือต้องให้พนักงานอัยการให้ความเห็นชอบก่อนออกหมายเรียกหรือขอศาลออกหมายจับ รวมถึงให้อำนาจพนักงานอัยการเข้ามาดูแลการสอบสวนในคดีสำคัญหรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ในเวทีเสวนาหลายฝ่ายได้แสดงความกังวลว่า ขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้กระบวนการสอบสวนล่าช้าลง เนื่องจากการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล จะกระทบต่อประชาชนผู้เสียหาย ทำให้การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งเข้าข่ายหลักการที่ว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม (Justice delayed is justice denied)
มีการยกตัวอย่างสถานการณ์ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่การสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดตามแนวชายแดนจำเป็นต้องรวดเร็วและคล่องตัว หากนำขั้นตอนตามร่างกฎหมายมาใช้ อาจไม่เหมาะสมและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีการหารือถึง งบประมาณของรัฐที่อาจต้องจัดสรรเพิ่มเติม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการ เพื่อรองรับภาระงานที่เพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้ ทั้งในด้านบุคลากร ทรัพยากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ถูกแลกเปลี่ยนคือ ความเหมาะสมในการแก้ไขกฎหมายแม่บทอย่าง ป.วิ.อาญา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นเพียงข้อบกพร่องส่วนบุคคลในงานสอบสวนบางส่วน หลายความเห็นชี้ว่าปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ตรงจุดและรวดเร็วกว่าผ่านกลไกการประสานงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม หรือการแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง โดยไม่จำเป็นต้องกระทบหลักการของระบบกฎหมายอาญาแบบกล่าวหาของประเทศไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ร่าง ป.วิ.อาญา ฉบับแก้ไข ยังถูกมองว่าเน้นการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาค่อนข้างมาก แต่โดยหลักการแล้ว กระบวนการยุติธรรมควรมีความสมดุลระหว่างสิทธิของผู้เสียหายและผู้ต้องหา รวมถึงต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมอาชญากรรม (Due Process) ตามหลักอาชญาวิทยา
หากร่างกฎหมายมุ่งแก้ไขเพียงบางประเด็น อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลและขัดแย้งกับมาตราอื่นๆ ที่ไม่ได้แก้ไขไปพร้อมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติ และท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบให้เกิดความล่าช้าในการสอบสวนโดยไม่จำเป็น และเป็นผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหายในที่สุด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรวบรวมผลการเสวนาจากทั้ง 4 ภูมิภาค จัดทำเป็นรายงานทางวิชาการ 4 ฉบับ เพื่อเป็นข้อมูลและความเห็นประกอบการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้ศึกษาต่อไป