สกนช.จ่อคลอดแผนวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับกรอบช่วยดีเซล
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สกนช. อยู่ระหว่างจัดทำแผนวิกฤติการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2568-2572 เนื่องจากแผนวิกฤติฯ เดิมใช้มาตั้งแต่ปี 2563-2567 ซึ่งครบกำหนด 5 ปีที่ต้องทบทวนใหม่แล้ว
โดยสาระสำคัญของแผนวิกฤติฯ ฉบับใหม่ดังกล่าวจะมุ่งเน้นการพิจารณาด้านความเหมาะสมของการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปช่วยเหลือในสถานการณ์เกิดวิกฤติราคาพลังงาน
ดังนั้น จะต้องกำหนดก่อนว่าสถานการณ์ใดจะเข้าข่ายการเป็นวิกฤติด้านพลังงาน และกรอบการนำเงินกองทุนฯ ไปช่วยเหลืออย่างเหมาะสมควรอยู่ที่ระดับใด ซึ่งปัจจุบันแผนวิกฤติฯ จะยึดหลักเกณฑ์กรณีราคาน้ำมันโลกเกิน 5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อสัปดาห์ และราคาน้ำมันขายปลีกขยับขึ้นเกิน 1 บาทต่อสัปดาห์ ถือว่าเข้าข่ายเกิดวิกฤติราคาพลังงานที่กองทุนฯ สามารถเข้าไปรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันได้
ซึ่งปัจจุบันยังยึดกรอบราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร แต่ขณะนี้ราคาปรับขึ้นไปอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นแผนวิกฤติฯ ฉบับใหม่จะต้องกลับมาทบทวนว่ากรอบราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรยังเหมาะสมกับสถานการณ์โลกปัจจุบันอยู่หรือไม่ และหากจะปรับเปลี่ยนควรกำหนดราคาที่เหมาะเท่าไหร่ เพื่อให้สอดคล้องกับการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปช่วยพยุงราคา
อย่างไรก็ตามการทำกรอบราคาดีเซลใหม่ จะมีการจัดทำกรอบราคาดีเซลที่หลากหลายแนวทาง โดยคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียที่จะเกิดขึ้นกับความรู้สึกของประชาชน ภาวะเศรษฐกิจประเทศ และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น
“ประชาชนจะเกิดความรู้สึกว่าราคาดีเซลแพงเมื่อขยับเกิน 30 บาทต่อลิตร แต่ที่ผ่านมาภาครัฐเคยขยับราคาไปสูงสุดถึง 35 บาทต่อลิตรในช่วงวิกฤติราคาพลังงานที่ผ่านมา ดังนั้นการกำหนดกรอบราคาใหม่จะพิจารณาปัจจัยหลายด้านประกอบกัน”
นอกจากนี้จะมีการพิจารณาถึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ว่าควรตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัมต่อไปหรือไม่ และการช่วยเหลือควรเลือกเฉพาะกลุ่มครัวเรือน หรือควรช่วยทุกกลุ่มเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นจะดูว่าแนวทางไหนที่จะเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและฐานะเงินกองทุนฯ มากกว่ากัน
ทั้งนี้จากบทเรียนในช่วงวิกฤติราคาพลังงาน 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนฯ เข้าไปพยุงราคาดีเซลและ LPG จนกองทุนฯ เป็นหนี้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 แสนล้านบาท และต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินถึง 105,333 ล้านบาท ดังนั้นจะต้องมีการทบทวนความเหมาะสมของการใช้เงินกองทุนฯ และการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานที่เหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากตามกฎหมายกองทุนฯ จะสามารถมีเงินสะสมได้ไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบัน (ล่าสุด ณ วันที่13 ก.ค. 2568 ) กองทุนฯ ติดลบรวม -31,588 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามคาดว่าแผนวิกฤติฯ ฉบับใหม่นี้จะเสร็จประมาณปลายปี 2568 นี้ โดยจะต้องนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พร้อมด้วยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามขึ้นตอนก่อนจะประกาศใช้ต่อไป
นายพรชัย กล่าวอีกว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันดีเซล ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับภาคขนส่งและค่าครองชีพของประชาชน กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าไปบริหารจัดการผ่านกลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกในประเทศ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนมากจนเกินไป
โดย กบน. ได้มีมติเร่งด่วน จำนวน 5 ครั้งภายในเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์เพื่อลดผลกระทบ โดยเริ่มจากลดอัตราเงินจัดเก็บของกลุ่มน้ำมันดีเซลจากเดิมจัดเก็บอยู่ที่ 2.40 บาทต่อลิตร เป็นการต้องชดเชยอยู่ที่ 0.65 บาทต่อ เพื่อคงราคาขายปลีกไม่ให้เกิน 32 บาทต่อลิตร ทำให้สามารถตรึงราคาหน้าปั๊มน้ำมันไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนในช่วงเวลาสำคัญ
แม้การรักษาเสถียรภาพ และตรึงราคาน้ำมันในช่วง 12 วันที่ผ่านมา จะส่งผลให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯประเภทน้ำมันดีเซลติดลบ คือมีรายจ่ายสูงสุดประมาณวันละ 40.75 ล้านบาทต่อวัน แต่เมื่อสถานการณ์สงครามอิสราเอล-อิหร่าน เริ่มคลี่คลายจากการไกล่เกลี่ยของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลกก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ กลับมาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้อีกครั้ง ปัจจุบันกลุ่มน้ำมันดีเซลมีรายรับประมาณวันละ 57.41 ล้านบาท และกลุ่มน้ำมันเบนซิน มีรายรับประมาณวันละ 96.17 ล้านบาท ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 กองทุนน้ำมันฯ ติดลบอยู่ที่ 31,588 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 12,406 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 43,994 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน กับกรณีสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน จะพบความแตกต่างในเชิงผลกระทบ และความยืดเยื้ออย่างชัดเจน ซึ่งกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยเพิ่มวิธีการบริหาร และความรอบคอบในการกำหนดมาตรการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน และอนาคต
ปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์ในทะเลแดง และภูมิภาคอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน กระทรวงพลังงานโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาดูแล ได้แก่ คณะกรรมการเตรียมการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ (LNG) ซึ่งมี นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เป็นประธาน และมีตน (นายพรชัย จิรกุลไพศาล) ร่วมเป็นกรรมการในชุดนี้ โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะทำหน้าที่เตรียมการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อรองรับสถานการณ์พลังงานจากวิกฤตในตะวันออกกลาง และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างรอบด้าน
“บทเรียนจากวิกฤตน้ำมันช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความจำเป็นของกลไกกองทุนน้ำมันฯ ที่มีความยืดหยุ่น ทันต่อสถานการณ์ และมุ่งมั่นดูแลประชาชนทุกระดับอย่างเท่าเทียม สะท้อนการทำหน้าที่และบทบาทของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาพลังงานให้กับประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาพลังงานเสมอมา ด้วยหลักการเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 พร้อมขอขอบคุณผู้ค้าน้ำมันที่ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนภารกิจสำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว”