TU กำไร Q2/68 ที่ 1.27 พันลบ.โต 4.4% GPM สูงเป็นประวัติการณ์ เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.35 บาท/หุ้น
TU กำไร Q2/68 ที่ 1.27 พันลบ.โต 4.4% GPM สูงเป็นประวัติการณ์ เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.35 บาท/หุ้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -4 ส.ค. 68 14:09 น.
TU เผยไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 1,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% โดย อัตรากำไรขั้นต้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% ส่วนงวด 6 เดือนแรก กำไรสุทธิ 2,292 ล้านบาท ลดลง 3.4% ปันผลระหว่างกาล 0.35 บาท/หุ้น ขึ้น XD 15 ส.ค. 68 พร้อมปรับเป้ายอดขายปีนี้เป็นลดลง 1-2% จากเดิมคาดเติบโต 1-3% จากผลกระทบภาษีสหรัฐฯผนึก มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น สร้างการเติบโตอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกอย่างยั่งยืน
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 1,272.57 เพิ่มขึ้น 4.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,218.6 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิปรับปรุงอยู่ที่ 1,506 ล้านบาท (ไม่รวม transformation costs) เพิ่มขึ้น 13.2%จากปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% ปัจจัยสนับสนุนจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
ส่วนงวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 2,291.81 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,37168 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้น 11.2% อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.3%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสสอง พบว่ายอดขายรวมกว่า 33,389 ล้านบาท ขยายตัวลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22% จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท สืบเนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7% ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท โดยปริมาณการขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6% และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3% จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต
ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 สิงหาคม บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของไทยยูเนี่ยนในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19, 15 และ 10% ตามลำดับ ทำให้มีความ สามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19%) และ เวียดนาม (20%)
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98%ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก TU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19% เป็น 20% (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป
การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล
ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดยมิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน
สำหรับการประสานความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก
บริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 ให้สะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยใช้การคิดอัตราภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และ 19% ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม โดยคาดยอดขายทั้งปีลดลง 1-2% จากเดิมคาดเติบโต 1-3% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ ประมาณ 18.5-19.5% จากเดิมประมาณ 18-19% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย คงเดิมที่ ประมาณ 13.5-14% และเพิ่มงบลงทุนอยู่ที่ ประมาณ 3.5-4 พันล้านบาท จากเดิม 3-3.5 พันล้านบาท
ที่ประชุมคณะกรรมการยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย. 2568 และกำไรสะสมอัตรา 0.35 บาท/หุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค. 2568 และจ่ายปันผลวันที่ 1 ก.ย. 2568
เรียบเรียง โดย จารุวรรณ เอี่ยมยิ่งพานิช
อีเมล์. charuwan@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ