มาริษเผยแผนระดมทำ'สงครามจิตวิทยา - ข่าวสาร'โต้กัมพูชา
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวประจำวันที่ 5 ส.ค. ว่า การบรรยายสรุปแก่คณะทูตเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) เป็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง มีหลักฐานชัดเจนทุกด้าน คณะทูต 75 ประเทศ มาร่วมรับฟัง รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ได้รับความสนใจและได้รับกระแสตอบรับที่ดี ทำให้มิตรประเทศได้เข้าใจไทยมากยิ่งขึ้น แม้ที่ผ่านมาก็เข้าใจในสิ่งที่ไทยทำดีอยู่แล้ว เมื่อวานมีหลักฐานมากยิ่งขึ้นมิตรประเทศจึงมีเสียงตอบรับที่ดี
“สิ่งที่ผมย้ำเตือนตลอดเวลา และพูดทุกครั้งคือ conflict ที่เรามีกับกัมพูชาไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแต่อย่างใด เราได้เรียกร้องให้กัมพูชาหันมาใช้กลไกทวิภาคีและเราและกัมพูชามีอยู่ร่วมกันมาโดยตลอดตั้งแต่มีปัญหาระหว่างกัน” อย่างไรก็ตามเมื่อไทยเป็นฝ่ายถูกละเมิดอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ก็ต้องปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของไทย ไทยไม่เคยใช้การรุกราน สิ่งที่ใช้ตลอดเวลาคือการตอบโต้อย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนกับภัยคุกคามที่ได้รับ มีความจริงใจและตั้งใจจริงที่จะเจรจาแก้ไขปัญหาอยางสันติ
"เราได้ในสิ่งที่เราต้องการคือเขากลับมาให้ความสำคัญกับการเจรจาทวิภาคีระหว่างกันมากยิ่งขึ้น" รัฐมนตรีกว่าและว่า ขณะเดียวกันเมื่อไทยได้สิ่งที่ต้องการก็มีข้อมูลข่าวสารบิดเบือนออกมาโดยตลอด เช่น เมื่อเช้ามีข่าวว่าประเทศไทยมีแผนลอบสังหารผู้นำกัมพูชา ซึ่งไทยไม่เคยมีแผนเช่นนั้น เมื่อตนรับรายงานจากอธิบดีกรมสารนิเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสั่งการให้ตอบโต้ทันที
การชี้แจงต่อคณะทูตเมื่อวานนี้ไทยได้แสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นกระทรวงกลาโหม กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมมือกันส่งออกข่าวสารที่ถูกต้อง มีหลักฐานชัดเจน ส่งไปยังทั่วโลกโดยใช้กลไกสถานทูต รวมไปถึงกรอบพหุภาคีในองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ก็ดำเนินนโยบายสอดรับกัน
- เตรียมประชุมทูตระดมพลังแจงโลก
ในวันที่ 7 ส.ค. นี้นายมาริษจะประชุมออนไลน์กับสถานทูตทุกแห่ง โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสำคัญในการชี้แจงให้ประชาคมโลกได้เข้าใจ เพื่อมอบหมายหน้าที่รณรงค์ชี้แจง ขณะนี้ไทยเน้นสงครามจิตวิทยาและสงครามข่าวสาร
“เราไม่ได้ตั้งใจทำแบบนี้ แต่ที่ผ่านมามีการทำสงครามข่าวสารที่บิดเบือนอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องตอบโต้ในทุกๆภาคส่วน ทุกๆ เวที เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา”
นายมาริษกล่าวด้วยว่า เคยมีการหารือกันไปแล้วในการประชุมอาเซียนสมัยพิเศษที่ปุตราจายาเรื่องการบิดเบือนข้อมูลและปล่อยเฟคนิวส์ ไทยเรียกร้องกัมพูชารับผิดชอบต่อข้อหารือที่ตกลงกันไปแล้ว
- ICRC เยี่ยมเชลยศึกผลจากนโยบายเชิงรุกของไทย
ส่วนการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเชลยศึกของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เป็นผลจากนโยบายเชิงรุกของไทย กล่าวคือนับตั้งแต่วันแรกๆ ที่พบพลรบกัมพูชา ตนได้ให้ทูตไทยประจำเจนีวาติดต่อ ICRC แสดงถึงความเปิดกว้างและจริงใจของไทย วันนี้ถือเป็นการต่อยอดจากนโยบายเชิงรุกดังกล่าว โดยไทยได้ส่งพลรบกลับไปแล้วสองรายที่มีปัญหาสุขภาพ คนที่เหลือได้รับการดูแลอย่างที่ตามอนุสัญญาและกฎบัตรสหประชาชาติ
“ICRC ก็ได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าเราได้ปฏิบัติตาม commitment ที่เรามีกับกฎหมายระหว่างประเทศ”
นายมาริษกล่าวพร้อมขยายความว่า ภายใต้อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 3 มีข้อบทที่อนุญาตให้ปล่อยตัวเชลยศึกได้เมื่อสภาวะการขัดแย้งทางอาวุธหยุดสิ้นลง ไม่ใช่แค่การหยุดยิง
“ตราบใดก็ตามที่เรายังไม่มั่นใจว่าบุคคลเหล่านี้กลับไปแล้วจะปฏิบัติหน้าที่เป็นปฏิปักษ์กับประเทศเรา เราก็ยังมีสิทธิที่จะควบคุมตัวไว้ เราดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ”
- เป้าหมาย GBC หยุดยิงถาวร
นายมาริษกล่าวต่อไปว่า วันนี้ซึ่งเป็นการประชุมเลขาธิการคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เป็นวันที่ 2 เป้าหมายเพื่อหยุดยิงถาวร มีกลไกตรวจสอบ ขั้นตอนการหยุดยิงโปร่งใสเป็นที่ยอมรับตามที่แม่ทัพได้หารือกันไว้
ทั้งนี้ กลไก GBC เป็นกลไกทวิภาคีบทบาทหลักอยู่ที่กระทรวงกลาโหมในการพูดคุยเพื่อให้หยุดยิงอย่างถาวร นายมาริษเผยว่า วานนี้ (4 ส.ค.) รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียโทรมาเชิญตนไปนั่งคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ตนขอบคุณและยินดีที่มาเลเซียให้ความสำคัญ
“แต่ผมคิดว่าขณะนี้กลไก GBC สำคัญที่สุด และอยากเห็นการเจรจาดำเนินการไปให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยมาคุยในเรื่องอื่นๆ ต่อไป” ซึ่ง รมว.ต่างประเทศมาเลเซียก็เข้าใจ
- เรียกร้องกัมพูชาเร่งเก็บร่างทหาร
อีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญมากคือการที่ทหารกัมพูชาเสียชีวิตบริเวณชายแดนจากการปะทะ ไทยเรียกร้องมาโดยตลอดให้กัมพูชาเก็บร่างทหารคืนสู่ครอบครัว เพื่อให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของทหารและพลเรือนของทุกประเทศ
- ความเป็นไปได้เล่นงานผู้นำกัมพูชา
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ได้พูดถึงการหาช่องทางนำผู้นำกัมพูชาขึ้นศาลระหว่างประเทศ นั่นหมายความว่าเราต้องยอมรับอำนาจศาลด้วยหรือไม่ รมว.ต่างประเทศชี้แจงว่า ผลการประชุม ครม. ชัดเจนว่า ไทยกำลังหาทางซึ่งหมายถึงการศึกษาทั้งข้อดีข้อเสีย และทุกอย่างให้ชัดเจน ประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
- พบ รมว.การค้านิวซีแลนด์
นายมาริษแจ้งเพิ่มเติมว่า วันนี้ได้มีโอกาสพบกับรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ที่ถูกสหรัฐเก็บภาษี 15% จากเดิม 10% จึงต้องทำงานร่วมกันเพื่อหาทางลดผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ พัฒนาห่วงโซ่มูลค่าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน สร้างกลไกพหุภาคีร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ไทยและนิวซีแลนด์ร่วมมือกันอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น