‘แก้วสรร’ ซัดเขมรจัดฉากเกลียดไทย หนุน ‘ฮุน’ สืบอำนาจ พาดพิง ‘ทักษิณ’ เอี่ยวเกมลับขายชาติ
เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 2 ส.ค. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายแก้วสรร อติโพธิ ได้ตั้งคำถามกลางเวทีอย่างตรงไปตรงมาในวันนี้ว่า “ฮุนเซนจะหยุดหรือไม่?” ทันทีที่คำถามจบลง เสียงตอบจากกลุ่มมวลชนก็ดังขึ้นว่า "ไม่" คำถามต่อเนื่องเกี่ยวกับอนาคตของกัมพูชา และอนาคตของภูมิภาคนี้ จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งเรื่องของความสูญเสีย ทหารเขมรที่เสียชีวิตกว่า 6 พันนาย ปัญหาความสัมพันธ์กับจีน และความเสี่ยงของการเกิด "สงครามครั้งที่สอง"
การเคลื่อนไหวทางทหารและการกดดันประชาชนภายในของกัมพูชา ไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ชาติ แต่เป็นการดำเนินการเพื่อ "รักษาบัลลังก์" ของตระกูลฮุน ซึ่งปกครองประเทศมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี
นายแก้วสรร กล่าวต่อว่า ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภา มีอำนาจเหนือกษัตริย์ หากเห็นว่ากษัตริย์ไม่เหมาะสมหรืออ่อนแอ ก็สามารถเปลี่ยนตัวได้ทันที ถือเป็นการรวมศูนย์อำนาจสูงสุดของประเทศไว้ในมือของคนเพียงกลุ่มเดียว
ตระกูลฮุน ควบคุมสื่อทั้งหมดของกัมพูชาอย่างแน่นหนา เสียงที่ประชาชนได้ยินจึงเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาอนุญาตให้เผยแพร่ นอกจากสื่อแล้ว พวกเขายังแต่งตั้งบุคคลในตระกูลขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ทหาร และระบบราชการทั้งหมด
ฮุน มาเนต บุตรชายของฮุนเซน ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับการยกย่องจากกลุ่มสนับสนุนว่าเป็นผู้นำที่ "เก่งกาจ" แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงตัวแทนการสืบทอดอำนาจจากพ่อเท่านั้น
เศรษฐกิจในประเทศตกอยู่ภายใต้การครอบครองของตระกูลนี้ ผ่านบริษัทกว่า 100 แห่งที่ผูกขาดผลประโยชน์ขนาดใหญ่ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยากจน เงินเดือนขั้นต่ำต่ำกว่าเส้นความยากจน แต่ค่าครองชีพกลับสูงลิบ
ความสัมพันธ์ลับกับนักการเมืองไทย ภาพถ่ายและคลิปเสียงที่หลุดออกมาเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกัมพูชากับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรงในสภากัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นการ "ขายดินแดน" และความร่วมมือทางการเมืองที่อาจสั่นคลอนความมั่นคงของภูมิภาค ฝ่ายตรงข้ามพยายามโยงทักษิณเข้ากับแนวคิด "ทรยศชาติ" เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและทำให้ประชาชนหันเหจากปัญหาในประเทศที่แท้จริง
นอกจากนี้ การสร้างข้อพิพาทบริเวณชายแดน เช่น พื้นที่พนมดงรักและบริเวณเขาพระวิหาร เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่รัฐบาลกัมพูชาใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนภายใน โดยปลุกกระแสเกลียดชังต่อเพื่อนบ้านอย่างไทย ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนและการโฆษณาชวนเชื่อ อีกทั้งการสร้างถนนทางทหารที่พาดเข้าพื้นที่พิพาทตั้งแต่มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการวางแผนล่วงหน้า และแม้ว่าจะมีความพยายามในการเจรจาหยุดยิงหลายครั้ง แต่ความขัดแย้งก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีข้อยุติ
เมื่อเกิดความรุนแรง รัฐบาลกัมพูชามักโยนความผิดให้ไทย แล้วนำเรื่องเข้าสู่เวทีนานาชาติ เช่น สหประชาชาติ (UN) เพื่อสร้างภาพว่ากัมพูชาเป็นผู้ถูกกระทำ สื่อสารต่อโลกในบทบาท "ผู้เสียหาย" ซึ่งช่วยขยายอิทธิพลและบีบให้ชาติอื่นต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
คำกล่าวที่สะท้อนถึงสถานการณ์ในจุดนี้อย่างชัดเจน คือ คำว่าหยาบ ที่ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่ชายแดนคนหนึ่งซึ่งสื่อถึงความกดดัน ความเครียด และความไม่มั่นคงที่ต้องเผชิญจากสถานการณ์ที่ยืดเยื้อมายาวนาน.