สพฐ. ร่วมเสวนา ชสอค. จับมือสหกรณ์ครูฯ เร่งเครื่องช่วยครูอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 2 ส.ค.นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ร่วมเวทีเสวนา “แก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการ (ครู) ที่รัฐบาลอยากแก้ไข : จะสำเร็จได้ด้วยระบบสหกรณ์” จัดโดย ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย จำกัด (ชสอค.) โดยมี นายปรีดา บุญเพลิง เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย ดร.ดิษกุล เกษมสวัสดิ์ รองเลขาธิการ สกสค. มอบนโยบายขับเคลื่อน มีผู้ร่วมวงเสวนา ได้แก่ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. นายอุทัย ศรีเทพ ประธานกรรมการ ชสอค. ดำเนินรายการโดย นายสำเริง ทองมอญ กรรมการและเลขานุการ ชสอค. ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต จังหวัดปทุมธานี
.
นางเกศทิพย์ ศุภวานิช กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเริ่มด้วยการดำรงชีวิตภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง และให้มีความรู้ในการบริหารจัดการการเงินอย่างชาญฉลาด ซึ่งมี คอร์ส online ของโค้ชหนุ่มโดย เริ่มต้นตั้งแต่ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และได้รับการสานต่อโดยเน้นเรื่อง ครูต้องมีความสุขด้วย โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. และ สพฐ. ภายใต้การนำของ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. นำขับเคลื่อนลงสู่การปฏิบัติ ช่วยเหลือครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงครูเกษียณ ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ซึ่งการขับเคลื่อนต้องอาศัยระบบเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่าง สพฐ. และสหกรณ์ออมทรัพย์ครู โดยแบ่งครูเป็นแต่ละกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มครูที่เหลือเงินรับสุทธิน้อยกว่า 30% ซึ่งต้องเจรจาเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้ และดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของกระทรวงการคลัง โดย “ศนค.สพฐ.” หรือ ศูนย์ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา สพฐ. ขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นระบบ ร่วมกับ “สถานีแก้หนี้ครู” ทุกจังหวัด ผ่านกระบวนการ PLC กับเครือข่ายสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย โดยผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศมีบทบาทสำคัญในการประสานงานและสนับสนุนการแก้ไขปัญหา จนการดำเนินงานมีความคืบหน้าเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง
.
นอกจากนี้ สพฐ. ร่วมกับ “Money Coach” ได้ถ่ายทอดความรู้ด้านการบริหารจัดการการเงินให้แก่ครูในระบบราชการ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินในระยะยาว มีเนื้อหาครอบคลุม 3 ด้าน ทั้งการวางแผนการเงินส่วนบุคคล การจัดการหนี้ การออมและการลงทุน โดยข้อมูลล่าสุด พบว่า มีผู้เข้าอบรมทั้งหมด 135,513 คน ผ่านการอบรมแล้ว 101,332 คน คิดเป็นร้อยละ 74.78 และกำลังอยู่ระหว่างอบรม 33,234 คน คิดเป็นร้อยละ 24.52 มีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้เข้าอบรมทั้งในด้านจำนวนผู้เข้าร่วมและอัตราการสำเร็จการอบรม และมีอินฟลูเอนเซอร์ทางการศึกษา อาทิ ผอ.พีช โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย, แม่สุชา ผอ.สาวสอง โรงเรียนบ้านจัดสรร, รองหมี โรงเรียนปลาปากวิทยา, รองณิชชา โรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย ฯลฯ บอกเล่าการนำความรู้ไปต่อยอดในการบริหารโรงเรียน และ การดูแลครูในสังกัด ส่งผลให้เกิดแรงจูงใจและกระแสตอบรับในวงกว้าง โดยเปิดให้ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูและบุคลากรทางการศึกษา และบุคคลทั่วไป เข้าใช้งานได้ผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่จำกัดเวลาในการเรียนรู้ (Anywhere Anytime)
.
ทั้งนี้ จากข้อมูลการดำเนินงานของระบบ OBEC Debt Center สะท้อนให้เห็นว่าสถานะหนี้สินของครูไทยโดยรวมมีแนวโน้ม “ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” โดยปัจจุบันมีครูลงทะเบียนในระบบฯ จำนวน 7,353 ราย ในจำนวนนี้สามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการถูกฟ้องได้ถึง 5,901 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 80.25 ส่งผลให้ครูกลุ่มนี้ไม่เพียงหลุดพ้นจาก “สถานะวิกฤตสีแดง” เท่านั้น แต่ยังเริ่มต้นการฟื้นฟูวินัยทางการเงินและกลับคืนสู่ความมั่นคงได้อีกด้วย เมื่อพิจารณารายกลุ่ม พบว่า กลุ่มสีแดง (ถูกฟ้อง) ลดลงจาก 2,673 ราย เหลือ 1,012 ราย หรือลดลงถึงร้อยละ 37.86 ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจน ขณะที่กลุ่มสีแดง (ไม่ถูกฟ้อง) เพิ่มขึ้นถึง 46.65% สะท้อนว่าครูกลุ่มเปราะบางยังคงมีอยู่ แต่สามารถได้รับการคุ้มครองไม่ให้เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ส่วนกลุ่มสีเหลืองซึ่งมีสถานะดีกว่าก็เพิ่มขึ้น 7.62% แสดงถึงพัฒนาการด้านวินัยการเงินของครูบางกลุ่มที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ครูกลับมามีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงทางการเงินอีกครั้ง
.
"ขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ที่ร่วมลดภาระดอกเบี้ย และจริงใจในการแก้ปัญหา เพื่อให้ครูที่เป็นสมาชิกได้หลุดพ้นจากวงจรหนี้ ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข คุณภาพชีวิตครูและครอบครัวอยู่ที่เราทุกคนช่วยกัน เราจะร่วมด้วยช่วยกันจนกว่าจะไม่มีครูที่ต้องร้องขอความช่วยเหลืออีกต่อไป และงานของเราจะสำเร็จเมื่อครูทุกคนมีความสุขค่ะ” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว