มติมหาเถรสมาคมจัดการเด็ดขาดสะสางคดีสงฆ์ทำผิดอาบัติ-ปาราชิก
มหาเถรสมาคมมีการประชุมวาระพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ตามพระบัญชาของ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช เพื่อพิจารณาแนวทางดำเนินการกรณีพระภิกษุกระทำผิดพระธรรมวินัย “ประเภทครุกาบัติ” ซึ่งเป็นอาบัติร้ายแรงที่กระทบต่อศรัทธาของประชาชน และเสถียรภาพของพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ที่ประชุมมีมติสำคัญตามมติที่ 569/2568 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. สืบสวนอย่างโปร่งใส ส่งต่อเจ้าคณะใหญ่ดำเนินการเด็ดขาด
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้รับมอบหมายให้ประสานกับสำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำส่งข้อมูลและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหาให้แก่เจ้าคณะใหญ่ประจำภาคต่าง ๆ ดำเนินการสอบสวนตามพระธรรมวินัย
หากพบพยานหลักฐานชัดเจน ให้มีคำสั่ง สละสมณเพศ ทันที และต้องเป็นไปโดยรวดเร็ว พร้อมให้พระผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งได้ตามกระบวนการ
2. เจ้าคณะทั่วประเทศต้องเข้มงวด ตรวจสอบภายในปกครอง
เน้นย้ำให้เจ้าคณะตั้งแต่ระดับเจ้าคณะใหญ่ เจ้าอาวาส จนถึงพระวินยาธิการ ต้องเข้มงวดในการตรวจสอบพฤติกรรมพระภิกษุในปกครอง หากพบพฤติกรรมเข้าข่ายผิดวินัย ต้องเร่งสอบสวนโดยไม่ชักช้า
ห้ามปล่อยปละละเลยโดยเด็ดขาด และต้องรายงานต่อมหาเถรสมาคมโดยเร็ว
3. กำหนดนโยบายใหม่ - ให้พักหน้าที่ทันทีเมื่อมีมูล
- หากพบว่าพระภิกษุมีมูลหรือพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดวินัย ให้เจ้าคณะสั่งพักหน้าที่ทันที
- เปิดทางให้ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ส่งข้อมูลหลักฐานเข้าสู่กระบวนการนิคหกรรม
- เน้นว่า มหาเถรสมาคม ไม่มีนโยบายปกปิด ปกป้อง หรือช่วยเหลือ พระภิกษุที่กระทำผิด
- ห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของพระที่ยังไม่มีคำพิพากษา เพื่อคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
4. เร่งปรับโครงสร้างสำนักงานพระพุทธศาสนา
เห็นควรให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทั้งด้านโครงสร้าง อำนาจ ศักยภาพบุคลากร และงบประมาณ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. วางหลัก 4 ประการในการออกกฎและมติใหม่
- พระธรรมวินัยเป็นหลักสูงสุด
- ยุติธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ
- สอดคล้องกับหลักการปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับชั้น
- ดุลยภาพระหว่างการเอาผิดกับการคุ้มครองผู้บริสุทธิ์
6. ตั้งคณะกรรมการพิเศษศึกษาปรับกฎว่าด้วยครุกาบัติ
เตรียมขอพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อ
ทบทวนกฎนิคหกรรม
- วางแนวปฏิบัติการสืบสวนและการสื่อสารสาธารณะ
- กำหนดแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพระภิกษุ
- บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐให้ทันยุคสมัย
7. รูปใดต้องปาราชิก = สิ้นสุดความเป็นพระทันที
หากตรวจสอบพบว่า “พระรูปใดต้องอาบัติปาราชิก” ถือว่าสิ้นสุดความเป็นภิกษุโดยทันที ต้องสละสมณเพศ และในกรณีต้องอาบัติหนักรองลงมา เช่น สังฆาทิเสส 13 ข้อ หากยังดำรงตำแหน่งทางการปกครองหรือมีสมณศักดิ์ มหาเถรสมาคมจะปลดออกทันที พร้อมเสนอขอพระราชทานถอดสมณศักดิ์
มติครั้งนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของมหาเถรสมาคมและสมเด็จพระสังฆราช ที่ต้องการ ปกป้องพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ด้วยความเที่ยงธรรม โปร่งใส และทันต่อยุคสมัย โดยมุ่งรักษาพระธรรมวินัยควบคู่กับการคุ้มครองสิทธิผู้ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ
"คณะสงฆ์จะไม่เพิกเฉยกับพฤติกรรมที่บ่อนทำลายศรัทธา แต่ต้องยึดมั่นในธรรมวินัยและหลักยุติธรรมอย่างไม่คลอนแคลน"
— สาระจากมติ มส. วาระพิเศษ (คลิ๊กอ่าน)