สงครามครั้งสุดท้าย “ชินวัตร”
สถานการณ์การเมืองไทยเข้าสู่จุดคลายแม็กซ์หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ในฐานะ สทร. เดินหน้าโชว์วิชั่นแก้ปัญหาทุกมิติ โดยประกาศตัวว่าเป็นเสมียนทำงานควบคู่กับ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ในการบริหารจัดการประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และต่างประเทศ โดยไม่เกรงกลัว “คดีครอบงำรัฐบาล”
การที่ “คุณพ่อทักษิณ” ต้องออกมาทำงานแทนหลัง “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคดี และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ “ตำแหน่งนายกฯ” จากปมคลิปเสียง “อังเคิลและหลาน” แม้จะมีตำแหน่ง “รมว.วัฒนธรรม” ก็ไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้การแก้ปัญหาหยุดชะงัก ข้าราชการเกียร์ว่างเนื่องจากไม่มั่นใจสถานการณ์การเมือง
ขณะเดียวกัน การเปิดหน้าของ “นายใหญ่” ยังสร้างความเชื่อมั่นให้คนใน “พรรคเพื่อไทย” ว่ายังสามารถไปต่อได้โดยไม่มีทางตัน หลังถูกปัญหาต่างๆรุมเร้า แถมยังโชว์ความมั่นใจด้วยการไล่บี้คู่ต่อสู้ทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้ราบคาบ ไม่ว่าจะเป็นการโชว์วิสัยทัศน์บนเวทีผ่าทางตันประเทศก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า ยังไม่จำเป็นต้องผสมกับพรรคส้ม ถ้าจะจับมือกันต้องไม่ขัดนโยบายหลักโดยเฉพาะเรื่องสถาบัน
ทั้งที่ “พรรคเพื่อไทย” ก็ปล่อยให้ 6 สส. โหวตสวนแนวทางพรรค รับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่รวมถึง 112 ด้วย โดยไม่มีการลงโทษ เข้าทำนองว่า เล่นการเมือง 2 หน้าหรือไม่ เพราะเกรงจะเสียมวลชนฝ่ายก้าวหน้า
เช่นเดียวกับ “พรรคภูมิใจไทย” ก็ถูกเปิดเกมไล่บี้คดีฮั้ว สว. เตรียมฟัน สว. 229 คน โยง “บิ๊กเนมค่ายน้ำเงิน” เสนอให้ กกต. พิจารณา รวมถึงสอดรับกับ “มท.อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ทวงคืนพื้นที่เขากระโดง ซึ่งถือเป็นกล่องดวงใจของ “ครูใหญ่ ค่ายเซาะกราว”
แถมรับหน้าที่ได้เพียง 3 วัน ก็เด้งข้าราชการระดับอธิบดีกรมการปกครอง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพราะมีความใกล้ชิดกับ “สายบุรีรัมย์” โดยไม่กลัวว่าจะซ้ำรอยปมโยกย้ายกรณี “ถวิล เปลี่ยนศรี” ที่ทำให้รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ล่มสลายมาแล้ว
แต่ที่หนักกว่าคือ การกล่าวหา “พรรคภูมิใจไทย” ที่เพิ่งถอนตัวจากการเป็นรัฐบาล ว่า ไม่รู้ว่าเขาเป็นฝ่ายเขมรหรือฝ่ายไทย หลังออกมาโจมตีรัฐบาลว่าขายชาติ ปลุกให้พลพรรคภูมิใจไทย อาทิ “เสี่ยโต้ง” สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาโพสต์ข้อความโต้ ว่า “เมื่อมีคนถามว่าเราเป็นคนไทย หรือเป็นคนเขมร เราไม่รู้หรอกว่าผู้นำเขมรมีจริยธรรมหรือไม่ เพราะไม่เคยรู้จัก แต่เรารู้แค่ว่า ผู้นำประเทศเรา เรียกเขาว่า Uncle ท่านอยากได้อะไรก็ให้บอกมา เดี๋ยวจัดการให้”
การเปิดศึกถือธงรบท่ามกลางสภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แม้ “สทร.” จะมั่นใจว่า ไปได้ด้วยการหวังซื้องูเห่าทั้งที่ตัวเองเคยแสดงความรังเกียจ ตั้งแต่วาทกรรม “ไล่หนูตีงูเห่า” แต่บัดนี้กลับกลายเป็น “ไล่หนูซื้องูเห่า” เพื่อมาเติมเสียง แต่สุดท้ายสภาฯก็ล่มไป 2 สัปดาห์ติดต่อกันหลังเปิดสมัยประชุม เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับ ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์ ก็ยังไม่ชัดเจนหลังดีลมาหลายรอบ ส่วนนโยบายเรือธงก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า อย่างโครงการแจกเงินหมื่น หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รวมกาสิโนเพื่อหาเงินเข้าประเทศ ซึ่งปัญหารุมเร้าเหล่านี้สะท้อนผ่านผลนิด้าโพล รวมกันถึง 82% ไม่ต้องการให้ “นายกฯอิ๊งค์” บริหารประเทศต่อไป
ขณะที่ตลอดเดือน ส.ค.จะมีคดีใหญ่ที่คาดว่า อาจจะตัดสินถึง 3 คดี ประกอบด้วย ศาลอาญานัดตัดสินคดี 112 ในวันที่ 22 ส.ค. ศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอาจจะตัดสินการจำคุกชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปมชั้น 14 และคดีคลิปเสียงอังเคิล ของ “นายกฯแพทองธาร” หลังศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยด้วยมติเอกฉันท์ ซึ่งต้องยอมรับว่า คดีทั้งหมดทั้งเหนื่อยและหนักมากสำหรับ “คนตระกูลชิน” ที่จะสามารถอยู่รอดในเส้นทางการเมืองได้หรือไม่
ฉะนั้น การออกมาปะฉะดะของ “ทักษิณ” รอบด้านและถี่ยิบ รวมถึง “สทร.”ทุกเรื่อง อาจเป็นการขอโอกาส … ต่อสู้ในสงครามครั้งสุดท้าย หรือ The Last War ชินวัตร