มหาดไทยปลดล็อก อปท. จัดรถรับส่งนักเรียน อุดหนุนอาหารกลางวัน ม.1-ม.6 ได้เต็มรูปแบบ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นประเด็นสำคัญในการบริหารจัดการประเทศ โดยเฉพาะด้านการศึกษา ที่มักเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งด้านทรัพยากรและโอกาส การเข้าถึงบริการสาธารณะ เช่น รถรับส่งนักเรียนและอาหารกลางวัน ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของเด็กไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งต้องเผชิญความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ว่าจะสามารถใช้งบประมาณจัดบริการเหล่านี้ได้หรือไม่ ปัญหาความคลุมเครือดังกล่าวทำให้เกิดการร้องเรียนและเรียกร้องจากหลายภาคส่วน กระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือยืนยันชัดเจน ว่า อปท. สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบ ถือเป็นการปลดล็อกครั้งสำคัญที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารการศึกษาไทยในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง
ที่มาของปัญหา ความคลุมเครือที่สร้างภาระ ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมา อปท. ทั่วประเทศต้องการคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการสนับสนุนการศึกษา โดยเฉพาะใน 2 ประเด็นหลัก คือ การจัดรถรับส่งนักเรียน และการอุดหนุนค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
เดิมทีแนวทางปฏิบัติระบุเพียงว่า สามารถทำได้ ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อช่วยเหลือนักเรียนยากจน ส่งผลให้การดำเนินงานในหลายพื้นที่สะดุด เพราะไม่สามารถจัดบริการให้ครอบคลุมนักเรียนทุกคน แม้จะมีความต้องการจริงในพื้นที่
ผลกระทบคืออะไร? นักเรียนบางส่วนต้องเดินเท้าไกลกว่า 5-10 กิโลเมตรเพื่อไปโรงเรียน ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่าเดินทางและค่าอาหารกลางวันสูงขึ้น เด็กบางกลุ่มขาดเรียนเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายเพียงพอ สถานการณ์นี้ทำให้เกิดการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ และกลายเป็นประเด็นร้อนในวงการท้องถิ่น
ความเคลื่อนไหวของ กมธ. และเอกสารสำคัญ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง ได้เชิญ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาหารือร่วมกันเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า “ท้องถิ่นสามารถใช้งบประมาณจัดบริการสาธารณะด้านการศึกษาครอบคลุมนักเรียนทุกคนได้หรือไม่?”
จากนั้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 คณะกรรมาธิการฯ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อสอบถามและขอความชัดเจน โดยมี ข้อเรียกร้องสำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่
1. ขอบเขตการจัดรถรับส่งนักเรียน สอบถามว่า อปท. สามารถจัดรถรับส่งนักเรียนในโรงเรียนทุกสังกัดที่อยู่ในพื้นที่ได้หรือไม่ ไม่จำกัดเฉพาะโรงเรียนสังกัดตน
2. การใช้งบประมาณในกรณีจำเป็น ขอความเห็นว่าการใช้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางหรือจากงบประมาณท้องถิ่น ต้องมีข้อจำกัดอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการตีความผิด
3. การอุดหนุนค่าอาหารกลางวันนักเรียนมัธยม สอบถามว่า สามารถใช้งบประมาณสนับสนุนอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ม.1-ม.6 ได้หรือไม่
4. ความเห็นต่อการแก้ไขกฎหมาย เสนอให้พิจารณาแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความชัดเจนและลดข้อโต้แย้งทางกฎหมายในอนาคต
หนังสือนี้กำหนดให้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ตอบภายในวันที่ 27 มิถุนายน 2568 เพื่อยุติความไม่แน่นอน
คำตอบจากมหาดไทย: ปลดล็อกเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ตอบกลับเป็นหนังสือยืนยันว่า 1.อปท. สามารถจัดรถรับส่งนักเรียนทุกคนในโรงเรียนสังกัดท้องถิ่นได้ 2.สามารถจัดรถรับส่งนักเรียนในโรงเรียนสังกัดอื่นที่อยู่ในพื้นที่ได้ เพื่อความเท่าเทียม 3. สามารถอุดหนุนค่าอาหารกลางวันให้นักเรียนมัธยมศึกษา (ม.1-ม.6) ในโรงเรียนมัธยมสังกัดท้องถิ่นได้
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวว่า เมื่อ 3-4 เดือนก่อน ได้รับฟังความกังวลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง เกี่ยวกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนในการนำงบประมาณของท้องถิ่นมาสนับสนุนภารกิจด้านการศึกษาในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการจัดรถรับส่งนักเรียน และการอุดหนุนอาหารกลางวันให้นักเรียนมัธยม
เรื่องรถรับส่งนักเรียน แม้ไม่ได้มีเขียนห้ามไว้ แต่คำตอบจากหน่วยงานที่ผ่านมามักเต็มไปด้วยเงื่อนไขหรือข้อความที่คลุมเครือต่อการตีความ เช่น จัดให้ได้เฉพาะ “เด็กที่ด้อยโอกาส” แต่จัดให้ทุกคนไม่ได้? จัดได้โดยให้นับว่าเป็นภารกิจท้องถิ่นเรื่อง “การสังคมสงเคราะห์” แต่ไม่ให้นับว่าเป็นภารกิจท้องถิ่นเรื่อง “การศึกษา”? จัดได้เฉพาะนักเรียนในโรงเรียนสังกัดท้องถิ่น แต่จัดให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัดอื่นไม่ได้?
เรื่องอาหารกลางวันนักเรียน แม้รัฐบาลมีการอุดหนุนงบอาหารกลางวันให้กับนักเรียนประถมในทุกโรงเรียน และนักเรียน มัธยมต้น ม.1-3 (เฉพาะในโรงเรียนขยายโอกาส) อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา ท้องถิ่นหลายแห่งมีความเข้าใจว่าท้องถิ่นไม่สามารถนำงบของท้องถิ่นมาอุดหนุนค่าอาหารกลางวันให้กับนักเรียนมัธยม (ม.1-6) ในโรงเรียนมัธยมของท้องถิ่นเองได้
ในมุมหนึ่ง ตนเห็นว่าในเชิงกฎหมาย ท้องถิ่นน่าจะมีอำนาจดำเนินการดังกล่าวได้ เพราะ พ.ร.บ. อบจ. และ พ.ร.บ. เทศบาล ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2562 ซึ่งระบุชัดเจนว่า อบจ. และ เทศบาล มีอำนาจหน้าที่ “จัดการ ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษา” ซึ่งควรครอบคลุมการจัดรถรับส่งนักเรียนและการอุดหนุนอาหารกลางวันให้กับนักเรียนในสถานศึกษาทุกสังกัดในพื้นที่
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ตนก็เข้าใจท้องถิ่นหลายแห่งที่กังวล ว่าหากดำเนินการไปโดยที่ยังมีความเห็นจากหน่วยงานส่วนกลางในอดีตที่คลุมเครือและยังไม่มีคำยืนยันชัดเจนว่าทำได้หรือไม่ ก็อาจถูกตรวจสอบและเอาผิดย้อนหลังได้
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้นำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุม กมธ. พัฒนาการเมือง ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 โดยเชิญทั้งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และ สตง. (ที่ท้องถิ่นกังวลว่าจะมาตรวจสอบท้องถิ่น) มาร่วมประชุมด้วยในคราวเดียวกัน
ทางตนและ กมธ. ได้ร่วมกันนำเสนอว่าหากอ้างอิงกฎหมายปัจจุบัน เราควรตีความว่าท้องถิ่นมีอำนาจในการดำเนินการภารกิจเรื่องรถรับส่ง-อาหารนักเรียนได้ ในบางเรื่อง ทางตัวแทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นยืนยันในที่ประชุมวันนั้นว่าเห็นตรงกัน (เช่น การจัดรถรับส่งให้นักเรียนทุกคนในโรงเรียนสังกัดท้องถิ่น) แต่ก็มีหลายเรื่องที่ทางตัวแทนกรมขอยังไม่ยืนยัน แต่รับปากว่าจะนำกลับไปศึกษาภายในกรมเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว
ล่าสุด (3 ก.ค. 2568) ทางกรมได้ส่งหนังสือ กลับมาที่ทาง กมธ. โดยเป็นการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ท้องถิ่นสามารถนำงบประมาณมาสนับสนุนภารกิจด้านการศึกษาดังต่อไปนี้ 1. จัดรถรับส่งนักเรียนให้กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนสังกัดท้องถิ่นได้ (ไม่ใช่แค่เฉพาะนักเรียนรายได้น้อย เหมือนที่เคยเป็นที่เข้าใจ) 2. จัดรถรับส่งนักเรียนให้กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนสังกัดอื่นภายในพื้นที่ได้ 3. อุดหนุนอาหารกลางวันให้กับนักเรียนมัธยมทุกคน (ม.1-6) ในโรงเรียนมัธยมของท้องถิ่นเองได้
แน่นอนว่าหากมองเชิงระบบ เราจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายที่ปลดล็อกให้ท้องถิ่นจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ในภาพรวมได้อย่างเต็มที่และคล่องตัวกว่าที่เป็นอยู่ (แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหากันเป็นรายประเด็น) แต่ตนหวังว่าหนังสือยืนยันจากกรมฉบับนี้ จะเป็นความคืบหน้าเล็กๆน้อยๆ ที่ทำให้ท้องถิ่นมีความสบายใจมากขึ้น ในการเดินหน้านโยบายเกี่ยวกับรถรับส่งนักเรียนและอาหารกลางวันนักเรียนมัธยม ในพื้นที่ตนเอง
“ผมขอขอบคุณทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ช่วยสะท้อนปัญหา และขอบคุณหน่วยงานทั้งหมดที่ร่วมกันแก้ไขปัญหา เพื่อปลดล็อกท้องถิ่นด้านการศึกษา - เข้าใจว่าทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะออกระเบียบและ/หรือแนวปฏิบัติเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่ทางกรมได้ทำการยืนยันมาแล้ว” นายพริษฐ์ กล่าว
การปลดล็อกครั้งนี้เป็น ก้าวสำคัญของการกระจายอำนาจ ช่วยให้ อปท. ตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปบริการสาธารณะในอนาคต