นำเมืองรองสู่สายตาโลก บัวแก้วพาคณะทูตท่องอีสาน ชมภูมิปัญญาท้องถิ่น-เสน่ห์ผ้าไทย
นำเมืองรองสู่สายตาโลก บัวแก้วพาคณะทูตท่องอีสาน ชมภูมิปัญญาท้องถิ่น-เสน่ห์ผ้าไทย
เมื่อชาวต่างชาตินึกถึงประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยว มักจะนึกถึงเมืองยอดนิยมอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ตเป็นอันดับต้นๆ แต่ยังมีเมืองรองของไทยอีกมากที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวไม่แพ้เมืองหลัก ทั้งยังคงความงดงามของธรรมชาติและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นอันงดงาม ที่จะเปิดประสบการณ์ให้ชาวต่างชาติได้สัมผัสกับความเป็นไทยในหลากหลายมิติ
เมื่อเดือนมิถุนายน กระทรวงการต่างประเทศได้นำคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย พร้อมคู่สมรส 45 คน จาก 32 ประเทศ เดินทางเยือนจังหวัดสกลนครและนครพนมเพื่อการทัศนศึกษาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและเรียนรู้เกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทย ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและอัตลักษณ์ไทย ประจำปี 2568 ที่ถือเป็นโอกาสอันดีในการเปิดโลกทัศน์แก่คณะทูตานุทูตให้เห็นประเทศไทยอีกมิติหนึ่ง ทั้งยังเป็นโอกาสให้ได้พบกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่แต่ละภูมิภาคมีต่างมีเอกลักษณ์ของตน หล่อหลอมผสมผสานจนกลายเป็นอัตลักษณ์ของประเทศไทยอย่างกลมกลืน
ทันทีหลังลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานสกลนคร ชาวสกลนครได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยมีการมอบพวงมาลัยผ้าขาวม้าและการแสดงของนางรำไทยอีสาน สร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึง จากนั้นได้ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยได้เข้าร่วมกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงแนวปฏิบัติอันดีของไทยในการส่งเสริมความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นการบริหารพื้นที่การเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุด การทำนาโยนที่ช่วยลดต้นทุนและแรงงานในการเพาะปลูก การถนอมดอกไม้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการผลิตยาดมสมุนไพร โดยคณะทูตฯ และคู่สมรสก็ได้รับน้ำมันถนอมดอกไม้และยาดม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของไทย กลับไปเป็นที่ระลึกในการมาทัศนศึกษาครั้งนี้ด้วย
คณะทูตานุทูตยังได้รับชมการแสดงทางวัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดสกลนคร พร้อมกับชมและเลือกซื้อสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในชุมชน แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงความประณีตและคุณภาพของสินค้าท้องถิ่นไทยด้วย
ช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ต้องยกให้การเดินทางไปที่ศูนย์การเรียนรู้ผ้าย้อมครามบ้านดอยกอย เพราะทันทีที่ลงจากรถ ประชาชนในพื้นที่ที่พร้อมกันร่ายรำท่ามกลางเสียงเพลงพื้นบ้านอีสานอันแสนสนุกสนานเพื่อให้การต้อนรับ ความจริงใจของเจ้าบ้านที่สามารถสัมผัสได้ ทำให้ทูตบางท่านถึงกับอดไม่ได้ที่จะร่วมรำไปด้วย
จากนั้นไม่นาน บรรยากาศแห่งความเปรมปรีดิ์ต้องเผชิญกับอุปสรรคไม่คาดฝันจากฝนตกที่ตกลงมาอย่างหนัก แต่ศูนย์การเรียนรู้ผ้าย้อมครามบ้านคอยดอยและกรมพิธีการทูต กระทรวงการต่างประเทศ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการย้ายกิจกรรมทั้งหมดมาไว้ในที่ร่มทันที ส่งผลให้คณะทูตได้มีโอกาสลองมัดย้อมครามด้วยตนเอง สร้างความอบอุ่น สนุกนาน และรอยยิ้มให้อบอวลไปทั่ว แม้สภาพอากาศจะมืดครึ้มก็ตามที
ในวันที่สอง คณะทูตฯ และคู่สมรสได้เดินทางไปเยี่ยมชมวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและได้รับฟังบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความสำคัญและคุณค่าของพระธาตุพนมต่อชาวไทย นอกจากนี้ คณะทูตฯ ยังได้ร่วมลงนามบนผืนผ้าห่มองค์พระธาตุพนมวรมหาวิหารและแห่ผ้าขึ้นห่มพระธาตุ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีสำคัญของคนไทยด้วย
ในช่วงอาหารกลางวันซึ่งทางกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพ นอกจากคณะทูตานุทูตจะได้อิ่มเอมไปกับอาหารไทยแล้วนั้น ยังได้ร่วมกิจกรรม workshop ซึ่งแบ่งเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่ 1. การสาธิตการทำเมนูอาหารประจำจังหวัดนครพนม (Must Taste) 2. การสาธิตงานฝีมืออัตลักษณ์จังหวัดนครพนม (Must Try) 3. การสาธิตมรดกภูมิปัญหาท้องถิ่น (Must See) โดยกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามหนีไม่พ้น นวดแผนไทย ซึ่งมีผู้ต่อคิวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งงาน
นายจักรกฤดิ กระจายวงศ์ อธิบดีกรมพิธีการทูต เล่าถึงเป้าหมายของโครงการนี้ว่า ต้องการให้คณะทูตฯ ได้เห็นและสัมผัสประเทศไทยในหลากหลายมิติด้วยตนเอง ทั้งวิถีชีวิต อัตลักษณ์ท้องถิ่น ความร่ำรวยทางวัฒนธรรม รวมทั้งศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คณะทูตฯ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานไทยทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ กระตุ้นการเชื่อมโยงด้านความร่วมมือและส่งเสริมเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน
อธิบดีจักรกฤดิบอกว่า เหตุที่เลือกมาเยือนสกลนครและนครพนมในปีนี้ เป็นเพราะด้วยหน้าที่การงาน น่าจะทำให้คณะทูตฯ ได้ไปเยือนจังหวัดใหญ่ๆ มาแล้ว จึงอยากจะแนะนำ“ของดี” ในเมืองรองของไทยด้วย ขณะที่โครงการในพระราชดำริที่นำเสนอศาสตร์และศิลป์ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของไทยที่พัฒนาอย่างยั่งยืนไปสู่ระดับสากลตามแนวคิดหลัก“Weaving towards Sustainability” ซึ่ง “ดอนกอยโมเดล” จังหวัดสกลนคร และ “นาหว้าโมเดล” จังหวัดนครพนม เป็นสองตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นแนวคิดนี้ได้อย่างลงตัว เนื่องจากเป็นโครงการที่สามารถนำเสนอการน้อมนำพระดำริเกี่ยวกับ “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มาใช้ในการพัฒนาของชุมชนท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน
ด้าน นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า พระธาตุพนมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครพนมและได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นเพื่อการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การทัศนศึกษาในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมให้พระธาตุพนมเป็นที่รู้จักในเรื่องคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรมและศาสนา โดยทางคณะทูตฯ จะสามารถช่วยเผยแพร่ให้พระธาตุพนมเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเพราะหลายประเทศก็เป็นคณะกรรมการมรดกโลก โครงการนี้ยังก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสินค้าทางวัฒนธรรม
เมื่อถามคณะทูตฯ ถึงความรู้สึกที่มีต่อการทัศนศึกษาครั้งนี้ Ms. Karen Bibiana Tobar Quintero อุปทูตโคลอมเบีย กล่าวว่า เคยได้ยินแต่ชื่อภาคอีสานแต่ไม่เคยเดินทางไปเลย อย่างไรก็ดี ความใจดีของผู้คน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่งดงามสร้างความประทับใจให้กับตนเป็นอย่างมาก ทั้งยังได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้ว่าพระธาตุพนมมีความหมายต่อคนไทยอย่างไรด้วย
ด้าน H.E. Mr. Elchin Ragub oglu Bashirov เอกอัครราชทูตอาเซอร์ไบจาน กล่าวว่า ไม่รู้จักทั้งสองจังหวัดมากก่อนแต่ตนเชื่อว่าวิธีชีวิตที่แท้จริงของผู้คนนั้นอยู่นอกเมืองหลวง รู้สึกประทับใจในความจริงใจและความเป็นธรรมชาติของคนท้องถิ่นที่นี่เป็นอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวว่า พระธาตุพนมสมควรได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และทิ้งท้ายว่าท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขอให้ผู้คนอย่าเปลี่ยนไปเช่นนั้น ความเป็นมิตร ความใจดีและรอยยิ้มที่คนไทยมีแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยอย่างแท้จริง
Mrs. Hala Youssef Ahmed Ragab เอกอัครราชทูตอียิปต์ กล่าวว่า ไม่เคยไปที่ใดที่มีความลึกซึ้งและความหลากหลายทางศิลปะและวัฒนธรรมมากเท่าที่นี่ รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับอาหารไทย ความมีน้ำใจ ตลอดจนความสุภาพของผู้คนในพื้นที่ซึ่งทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย ขณะที่H.E. Park Yongmin เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ กล่าวว่า ทัศนศึกษาครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อคณะทูตานุทูตจากทุกประเทศที่เข้าร่วมเพราะได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจในวัฒนธรรมของภูมิภาค รวมถึงวิถีความคิดของผู้คนท้องถิ่น ตลอดจนความงามของชุมชนที่ซ่อนเร้นเอาไว้ด้วย
ต่อคำถามว่า โครงการนี้ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและประเทศต่างๆ หรือไม่ อุปทูตโคลอมเบียหวังว่า จะสามารถขยายความร่วมมือกับไทยให้ครอบคลุมในหลากหลายสาขามากขึ้น โดยการทัศนศึกษาที่เชียงรายเมื่อปีที่แล้ว ได้นำไปสู่โครงการด้านกาแฟร่วมกับกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) ขณะที่ Mr. Abdulmohsen Alrefai อุปทูตคูเวต กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและคูเวต โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมและการเกษตร พร้อมกับได้ขอบคุณผู้จัดงานและบอกว่าจะตั้งตารอเข้าร่วมการทัศนศึกษานี้อีกในครั้งหน้า
ด้านนางสมปอง บุญตองฮะ ชาวนครพนมและประธานกลุ่มข้าวทิพมนต์บอกว่า ภูมิใจที่ได้มีโอกาสนำผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรมานำเสนอให้คณะทูตฯ ได้ชิม และทำให้ทางคณะได้ทราบว่าจังหวัดนครพนมมีธุรกิจ กิจการและการต่อยอดของผลิตภัณฑ์ โดยมีการแปรรูปเป็นสินค้าต่างๆ เช่น น้ำข้าวกล้องงอกผสมน้ำผึ้ง เป็นต้น
เชื่อว่าโครงการของกรมพิธีการทูตครั้งนี้ จะสร้างผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรม ทั้งต่อการผลักดันให้พระธาตุพนมได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก ส่งผลกระทบเชิงบวกในด้านสิ่งแวดล้อมเพราะจะช่วยให้การกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองหลักลดลง และส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ จากการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
สะท้อนให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยก็มีบทบาทนำในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่องด้วย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นำเมืองรองสู่สายตาโลก บัวแก้วพาคณะทูตท่องอีสาน ชมภูมิปัญญาท้องถิ่น-เสน่ห์ผ้าไทย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th