อนาคตราคาทองคำ หลังผ่านพ้นเจรจาทางการค้า
ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทำ All Time High แตะระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (+12.43%) ภายใน 20 วัน ขานรับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 2 เมษายน แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ทองคำได้เผชิญแรงกดดันระยะสั้น หลังบรรดาคู่ค้าสหรัฐ ทยอยบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีนำเข้าลง ก่อนเส้นตายเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ส่งผลให้ราคาทองคำแกว่งตัวออกด้านข้าง
แม้ ฮาเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ จะเคยกล่าวเปิดทางไว้ว่ายังสามารถเจรจาได้หลังจากกำหนด 1 สิงหาคม อย่างไรก็ดี บรรดาประเทศคู่ค้าต่างเร่งเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงการเริ่มชำระภาษีนำเข้าตามกำหนด โดยมีหลากหลายประเทศสามารถบรรลุได้ อาทิ ญี่ปุ่นในอัตรา 15% จากเดิม 25% และโดยเฉพาะ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งสุดท้ายสามารถเจรจาได้ในอัตรา 15% จากเดิมเคยถูกขู่ 30% ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของความผันผวนในราคาทองคำ จากก่อนหน้านี้นักการทูตสหภาพยุโรป (EU) เคยขู่ว่าหากสหรัฐเก็บภาษีในอัตรา 30% EU จะตอบโต้ด้วย มาตรการ ‘Anti-Coercion Instrument (ACI)’ ที่ขอบเขตกว้างขวาง ทั้งการขึ้นภาษี, ระงับการเข้าถึงตลาด, จำกัดการลงทุน หรือการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วมาตรการดังกล่าวยังไม่เคยถูกใช้นับตั้งแต่กำเนิดขึ้นในปี 2023
ในขณะที่ทางฝั่งจีน ก็มีแนวโน้มการเจรจาในเชิงบวก ท่ามกลางการเจรจาของเจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงจาก ‘จีน-สหรัฐ’ ได้พบกัน ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่ากระบวนการเจรจาทวิภาคีได้ก้าวสู่ระดับใหม่แล้ว นอกจากปัญหาทางการค้าแล้ว สหรัฐยังตั้งเป้าที่จะแก้ไขปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (overcapacity) ในภาคอุตสาหกรรมจีน นอกจากนี้ ข้อต่อรองที่ควรจับตาคือ แร่หายาก (rare earth) ที่สหรัฐจำเป็นต้องนำเข้าจากจีน และการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย-อิหร่าน
สถานการณ์ที่คลี่คลาย จึงเป็น Sentiment กดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดี ด้วยราคาทองคำที่ซึมตัวแกว่งออกข้างอยู่นาน ในช่วงหลังจากนี้สิ่งที่ควรจับตาคือ พฤติกรรมของราคาทองคำว่าจะซึมซับ (price-in) ปัจจัยกดดันดังกล่าวไปจนหมดแล้วหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นในช่วงที่ผ่านพ้นเส้นตายการเจรจาไปแล้ว ทองคำอาจสามารถสลับมาสร้างฐานได้ในระยะสั้น และตลาดอาจเปลี่ยนความสนใจไปประเด็นอื่น อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อันเป็นปัจจัยชี้นำทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed
ทั่วโลกต่างเคยกังวลว่า ภาษีของทรัมป์จะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้น จนกลับมากดดันทองคำเพราะ Fed จะไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ตามแผน อย่างไรก็ดี แม้เริ่มเห็นการเร่งตัวในบางรายการของ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อาทิ Household Appliances และ Recreational Goods แต่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยังต่ำกว่าคาดการณ์ จึงประเมินว่าในระยะแรกภาษีนำเข้าจะมีอิทธิพลต่อเงินเฟ้อไม่มาก เนื่องจากราคาที่สูงขึ้น ไม่ได้ถูกผลักภาระไปที่ผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ส่งออก – ผู้ผลิตเป็นฝ่ายช่วยรับภาระ (absorb)
ดังนั้น หากสถานการณ์เงินเฟ้อยังไม่เป็นที่น่ากังวล อีกหนึ่งปัจจัยที่มีนัยสำคัญต่อทิศทางดอกเบี้ย Fed คือตลาดแรงงานสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงาน หรืออัตราว่างงานนั้น จะเป็นที่สนใจของตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนต่างจับตาสถานการณ์เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่เคยถูกกดดันให้ลาออกก่อนสิ้นสุดวาระในเดือนพฤษภาคม 2026 อันเป็นปัจจัยกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการเงินจากที่องค์กรอิสระถูกแทรกแซง ขณะที่ตลาดคาดประธาน Fed คนใหม่ ‘เควิน แฮสเซตต์’ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Director of the National Economic Council ซึ่งสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมีแนวโน้มเป็นปัจจัยบวกทองคำในระยะถัดไป
ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของทองคำหลังจากนี้ อาจไม่หวือหวาเท่าช่วงครึ่งปีแรกที่ปรับตัวขึ้นไปแล้วกว่า 26% เนื่องจากเริ่มเห็นแรงซื้อที่ชะลอลงบ้างของ player หลักอย่างจีน หลังสมาคมทองคำจีน (CGA) เปิดเผยว่าช่วงครึ่งปีแรก (H1/2025) จีนบริโภคทองคำลดลง 3.54% แตะระดับ 505.21 ตัน เช่นเดียวกับ สำนักงานสถิติฮ่องกงที่เปิดเผยว่า การนำเข้าทองคำสุทธิของจีนผ่านฮ่องกงในเดือนมิถุนายน ลดลงเกือบ 60% เหลือ 19.37 ตัน เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 48.13 ตัน
ภาพ: scyther5 / Getty Images