สหรัฐฯ ขึ้นภาษีอีก 50% ขยายไปถึงสินค้าที่ทำจากเหล็กและอะลูมิเนียม 400 รายการ ชี้ป้องกันเลี่ยงภาษี
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีอีกครั้ง 50% ขยายไปถึงสินค้าที่ทำจากเหล็กและอะลูมิเนียม รวมกว่า 400 รายการ ชี้ป้องกันเลี่ยงภาษี
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แถลงในวันอังคาร (19 สิงหาคม 2568) ว่า สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่เป็นส่วนประกอบในสินค้ากว่า 400 รายการ ซึ่งรวมถึงกังหันลม เครนเคลื่อนที่ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถเกลี่ยดินและเครื่องจักรสำหรับงานหนักประเภทอื่น ๆ ตลอดจนเหล็กและอะลูมิเนียมที่เป็นส่วนประกอบในรถไฟ รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์เรือ เฟอร์นิเจอร์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายร้อยรายการ
กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ทางกระทรวงได้เพิ่มประเภทสินค้า 407 ประเภทในรายการสินค้าอนุพันธ์ (derivative) ของเหล็กและอะลูมิเนียมที่อยู่ภายใต้การจัดเก็บภาษีนำเข้ารายภาคส่วน (sectoral tariffs) โดยจะมีการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 50% สำหรับส่วนประกอบที่เป็นเหล็กและอะลูมิเนียมในสินค้าเหล่านี้ และบวกกับอัตราภาษีของแต่ละประเทศสำหรับส่วนประกอบที่ไม่ใช่เหล็กและอะลูมิเนียม
นอกจากนี้ ในรายการภาษีใหม่ดังกล่าว กระทรวงฯ ยังได้เพิ่มชิ้นส่วนนำเข้าสำหรับระบบท่อไอเสียรถยนต์และเหล็กที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงชิ้นส่วนสำหรับรถบัส เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และเครื่องอบผ้า
ภาษีใหม่นี้มีผลบังคับใช้ทันทีและยังครอบคลุมถึงคอมเพรสเซอร์และปั๊ม ตลอดจนโลหะในเครื่องสำอางนำเข้าและบรรจุภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลอื่น ๆ เช่น กระป๋องสเปรย์
นอกจากนี้ประกาศจากหน่วยงานดังกล่าว ไม่มีการเอ่ยชื่อสินค้าโดยตรง แต่มีการประกาศผ่านการระบุรหัสศุลกากรเฉพาะที่ใช้กับสินค้านั้นๆ เท่านั้น ไม่ได้ระบุชื่อผลิตภัณฑ์ที่แท้จริง ทำให้ประชาชนอาจจะไม่ทราบว่าโดยภาพรวมจะมีสินค้าใดบ้างที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้
เจฟฟรีย์ เคสเลอร์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ฝ่ายอุตสาหกรรมและความมั่นคง กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการขยายขอบเขตภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม และมีเป้าหมายเพื่อปิดช่องทางในการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ
ที่ผ่านมานั้น กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติเคยเรียกร้องกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ไม่ให้เพิ่มชิ้นส่วนเหล่านี้ในรายการภาษีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ ไม่มีกำลังการผลิตในประเทศที่เพียงพอจะรองรับความต้องการในปัจจุบัน
ขณะที่ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เจสัน มิลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต มองว่าการขึ้นภาษีเพิ่มเติมขยายไปถึงสินค้าเหล่านี้จะมีผลกระทบที่รุนแรงตามมา โดยเฉพาะแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศ และทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะภาษี ซ้ำเติมจากที่เวลานี้สินค้ากำลังมีราคาขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว สะท้อนได้จากข้อมูลของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามผู้นำสหรัฐ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้มีการประกาศใช้ภาษีศุลกากรต่อสินค้ารายตัวของแต่ละภาคอุตสาหกรรมหลายครั้ง ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความมั่นคงและประโยชน์ของชาติ และเพื่อผลักดันในโรงงานย้ายฐานการผลิตกลับเข้าสู่ประเทศ
ทั้งนี้ในเดือนมิถุนายน ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสองเท่าเป็น 50% สำหรับประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนอย่างกว้างขวางสำหรับธุรกิจและคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่พึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์มูลค่าสูงเหล่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง