‘ช่อ พรรณิการ์’ กับ ‘เวลาของฮีโร่’ ใครได้ประโยชน์จากสงครามไม่จบ?
สำหรับทหารชายแดน “สงคราม” คือความตายที่มาเร็วเกินวัย แต่สำหรับ “ช่อ พรรณิการ์” มันคือ “เวลาของฮีโร่” ถ้อยคำทางการเมืองที่เธอเสพสมกับอุดมการณ์ และแปรเป็นมีดบางๆกรีดกองทัพทุกครั้งที่มีโอกาส
“มีคนไม่อยากให้สงครามจบ เพราะช่วงเวลาที่เกิดสงคราม คือเวลาที่ตนเป็นฮีโร่หรือไม่” ถ้อยคำของ ช่อ พรรณิการ์ สะดุดใจทันทีที่ได้ยิน เพราะมันไม่ใช่เพียงประโยคถามเล่นๆ แต่คือการท้าทายที่ชวนให้สังคมต้องหยุดคิด ว่าใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์จาก สงครามไม่จบ?
ในโลกสมัยใหม่ ใช่…มีบางกรณีจริงที่ผู้นำได้ “ภาพฮีโร่” จากการยืดเยื้อของความขัดแย้ง วลาดิมีร์ ปูติน สร้างภาพตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์รัสเซีย วลาดิเมียร์ เซเลนสกี ถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำผู้กล้า หรือแม้แต่ เบนจามิน เนทันยาฮู ที่ใช้สงครามกาซ่าเป็นเกราะกันแรงเสื่อมทางการเมือง
ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้คำพูดของช่อ ดูมีน้ำหนักไม่ใช่เพียงถ้อยคำลอยๆ แต่หากย้อนกลับมาที่สังคมไทย คำถามก็คือจริงหรือ ที่ สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา จะทำให้ใครสักคนกลายเป็น “ฮีโร่”?
เมื่อหันกลับมามอง ชายแดนไทย–กัมพูชา ความจริงคือมันไม่ใช่เวทีสร้างผู้นำระดับโลกแต่คือพื้นที่แห่ง ความสูญเสีย
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการปะทะ ไม่ใช่ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของนักการเมือง แต่คือ โลงศพของทหารชั้นผู้น้อย และ น้ำตาที่ไม่เคยหยุดไหลของครอบครัว
ทหารแนวหน้า คือคนสุดท้ายที่จะอยากให้สงครามยืดเยื้อ เพราะ สงครามที่ยืดเยื้อ สำหรับพวกเขา คือชีวิตที่สั้นลง และความฝันที่ดับไปพร้อมเสียงปืน
แม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเอง ก็ไม่ได้มีอะไรจะได้จากการสูญเสียเหล่านี้ ในทางกลับกัน มันยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่น และสร้างแรงกดดันในทางสังคมมากกว่าเกียรติยศ
คำว่า “สงครามที่สร้างฮีโร่” อาจฟังดูเข้าท่าในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เพราะมีผู้นำบางคนที่ใช้ไฟสงครามหล่อหลอมภาพลักษณ์ตน ยิ่งศึกยืดเยื้อ ภาพของ “ผู้นำผู้กล้า” ก็ยิ่งถูกตอกย้ำ
แต่สำหรับประเทศไทย ภาพนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ใช่สนามสร้างตำนาน สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นการ สูญเสียชีวิตทหาร และ ความเจ็บปวดของครอบครัว ที่ไม่อาจเยียวยา
ดังนั้น หากจะนำกรอบคิดนี้มาสวมลงกับไทย มันจึงไม่สอดคล้องกับความจริง เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่ ฮีโร่ แต่คือ บาดแผลและความสูญเสีย ที่ยืดเยื้อ
การที่ ช่อ พรรณิการ์ พูดเช่นนี้ ไม่ใช่ถ้อยคำที่หลุดออกมาโดยไร้รากฐาน เพราะฐานคิดของเธอโยงใยกับชุดความคิดแบบ ซ้ายเก่า ที่ถูกสืบทอดมาในหมู่การเมือง สายส้ม ตั้งแต่ พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล จนถึง พรรคประชาชน ในปัจจุบัน
แม้พวกเขาจะอ้างตนว่าเป็น“นักการเมืองก้าวหน้า” แต่แก่นความคิดกลับวนอยู่กับกรอบซ้ำๆ ของ ซ้ายเก่า ที่มองกองทัพ มองทหาร และมองโครงสร้างความมั่นคง ในฐานะอุปสรรคที่ต้องถูกลดทอนอยู่เสมอ
วิธีคิดเช่นนี้อาจ ฟังดูใหม่ในเชิงวาทกรรม แต่ในทางข้อเท็จจริง มันกลับ ล้าหลัง และไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสนามรบ
ดังนั้นเมื่อเธอหยิบประโยคว่า “สงครามคือเวลาของฮีโร่” มันจึงไม่ใช่คำถามที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง แต่เป็นการต่อยอดวิธีคิดของ ซ้ายเก่า เพื่อสร้างภาพว่ากองทัพถูกใช้เพื่อเสพภาพ ฮีโร่ และถูกวางให้อยู่ในด้านตรงกันข้ามกับสังคมไทยอยู่เสมอ
แต่ในโลกความจริง สิ่งที่เด่นชัดที่สุดจากสนามรบ ไม่ใช่ภาพลักษณ์ของผู้นำหรือความยิ่งใหญ่ของใคร แต่คือ ร่างของทหารชั้นผู้น้อย ที่ต้องเสี่ยงชีวิต และ ครอบครัวที่เฝ้ารอ ด้วยหัวใจที่ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่
นี่คือ ความจริงของไทย ความจริงที่ต่างไปจากภาพ “สงครามสร้างฮีโร่” ที่โลกบางประเทศเคยประสบ
หากมองออกไปในสังคมโลก มีหลายกรณีที่ผู้นำใช้สงครามเป็นเวทีสร้างภาพตัวเองปูติน สวมบทผู้พิทักษ์รัสเซีย เซเลนสกี ถูกยกย่องเป็นผู้นำผู้กล้า เนทันยาฮู ใช้กาซ่าเป็นเกราะทางการเมือง
แต่ไทยไม่ใช่รัสเซีย ไม่ใช่ยูเครน และไม่ใช่อิสราเอล ชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นเพียงรอยต่อของชาติพันธุ์และเศรษฐกิจ ไม่ใช่สมรภูมิที่จะสร้างฮีโร่ระดับโลก
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า “ใครบางคนอยากเป็นฮีโร่จากสงคราม” เมื่อนำมาใช้กับไทย จึงเป็นเพียงการ เสียดสีทางการเมือง มากกว่าการอธิบายข้อเท็จจริง แต่ในอีกมุมหนึ่ง คำถามเรื่อง “ใครได้ประโยชน์จากสงคราม” ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะหากจะบอกว่า “นักการเมืองต่างหากที่ได้ประโยชน์” ก็ใช่ว่าจะไร้มูลเสียทีเดียว
ทุกครั้งที่มีวิกฤตชายแดน การเมืองไทยมักหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างภาพว่า “เรายืนข้างประชาชน ยืนข้างคนตัวเล็กตัวน้อย”
บางคนอาจไม่ได้หวัง สงครามยืดเยื้อ จริงๆ แต่ก็ใช้ทุกโอกาสที่สถานการณ์ตึงเครียดเพื่อเก็บเกี่ยว ทุนทางการเมือง ทำให้ภาพของ “ฮีโร่” ไม่ได้เกิดในสนามรบ แต่เกิดบนโพเดียมและหน้ากล้องสื่อ คำถามคือ ภาพเหล่านี้สะท้อน ความจริงของสนามรบ จริงๆ หรือเป็นเพียง เรื่องเล่าที่การเมืองสร้างขึ้น เพื่อยืมพลังจาก ความสูญเสีย?
คำถามที่ควรถูกโยนกลับไปยังสังคมคือ วาทกรรมที่ว่า “มีคนไม่อยากให้สงครามจบ เพราะช่วงเวลาที่เกิดสงคราม คือเวลาที่ตนเป็นฮีโร่หรือไม่” สะท้อนความจริงของไทยจริงหรือ?
เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วน ชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่เคยสร้าง ฮีโร่ ขึ้นมาเลย สิ่งที่มันสร้างคือ โลงศพของทหารชั้นผู้น้อย และ ครอบครัวที่ต้องเผชิญความเจ็บปวด ตลอดชีวิต
ส่วน “ภาพฮีโร่” ที่ยังคงถูกพูดถึง ไม่ใช่ภาพจากสนามรบ แต่คือภาพที่นักการเมืองหยิบไปสร้างเรื่องเล่า ใช้เป็น ถ้อยคำโจมตีกองทัพ เพื่อเสริมความชอบธรรมทางการเมืองของตัวเอง
ดังนั้น หากจะบอกว่ามีใคร “อยากให้สงครามยืดเยื้อ” คำตอบไม่ใช่ทหารที่ต้องตาย แต่คือ การเมือง ที่ใช้ความตายเหล่านั้น เป็นเชื้อไฟหล่อเลี้ยง วาทกรรมและเสพสมกับอุดมการณ์ที่มโนภาพ “ฮีโร่” ไว้ให้ตนเอง!