เปิดวิสัยทัศน์"ป.เอก"ตัวจริง ในวันที่ GPT-5 ถูกโฆษณาว่าฉลาดระดับปริญญาเอก / ดร. พีพี
"ดร พัทน์ ภัทรนุธาพร" หรือ พีพี คนไทยที่เรียนจบปริญญาเอกจากสถาบัน MIT เปิดวิสัยทัศน์หลังจากการโชว์ตัวของ GPT-5 ที่มีจุดขายเรื่องความฉลาดเทียบเท่าผู้จบการศึกษาปริญญาเอก ฟันธงสิ่งที่มนุษย์ควรทำไม่ใช่การวิ่งไล่เทคโนโลยีให้ทัน แต่คือการพัฒนาปัญญา ตกผลึกความคิดให้มีหลักยึด ไม่ไหลไปกับกระแสจนหลงทาง ชี้ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญญามนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีอนาคตต่อให้เก่งระดับ superintelligence ก็อาจจะทำให้เกิด super stupidity หรือความโง่ระดับ Super ได้เหมือนกัน
ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร ผู้อำนวยการร่วมโครงการวิจัย MIT Advancing Humans with AI และผู้ช่วยศาสตราจารย์ MIT Media Lab โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยยกตัวอย่างว่า AI ไม่ว่าจะรุ่นไหน ล้วนไม่ได้เปลี่ยนธรรมชาติของคน แต่ได้ขยายความเป็นมนุษย์ออกไป ทั้งด้านสว่างและด้านมืด เหมือนที่สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) เคยบอกว่า เทคโนโลยีคือพาหนะของความคิด ยิ่ง AI แรงเหมือนรถแข่ง ผู้ใช้ก็ยิ่งต้องเป็นคนขับที่เก่ง เพราะถ้าไม่ระวัง แทนที่จะไปไกล ก็อาจพุ่งชนและเกิดเหตุร้ายตามมา
อีกประเด็นที่ดร.พัทน์ยกมากล่าวถึง คือคำพูดที่ว่า GPT-5 ฉลาดเท่าคนจบปริญญาเอก แต่ดร.พัทน์มองว่าย้อนแย้งเพราะบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ก็ยังคงแย่งตัวนักวิจัย PhD กันไม่หยุด เพราะสิ่งที่ปริญญาเอกฝึกมนุษย์ นั้นไม่ใช่แค่การหาคำตอบ แต่คือการตั้งคำถามที่ไม่เคยมีใครถามมาก่อน ซึ่ง AI ยังต้องพึ่งพาคนเก่งที่มีกระบวนการคิดแบบนี้
ดร.พัทน์ยังชี้ว่า ความรู้จาก AI มีมากและเข้าถึงง่าย แต่ “ความรู้” ไม่เท่ากับ “การเรียนรู้” เพราะการเรียนรู้ต้องผ่านการเชื่อมโยง คิด วิเคราะห์ และตกผลึก จนกลายเป็นแนวคิดเฉพาะตัว ซึ่งตรงนี้เองที่จะทำให้มนุษย์มีมุมมองและความสามารถที่แตกต่าง ดังนั้นในยุค AI จึงไม่ได้วัดกันว่าใครใช้เครื่องมือเก่งแค่ไหน แต่ใครจะเป็น “นักคิด นักตั้งคำถาม” ที่ใช้ AI เป็นพาหนะพาไปสร้างคุณค่าได้จริง
เพราะถ้าเราพัฒนาปัญญามนุษย์ไม่ทัน ต่อให้มี AI ฉลาดระดับ superintelligence ก็อาจกลายเป็น super stupidity ได้เหมือนกัน
***GPT-5 และอนาคตมนุษย์ในยุค AI : On Super Intelligence & Super Stupidity(บทความโดย Dr. Pat Pataranutaporn, Co-director of MIT Advancing Humans with AI research program, Assistant Professor, MIT Media Lab)
พีพีคิดว่าหลายคนไม่ว่าจะตื่นเต้นกับ GPT-5 ที่ OpenAI เพิ่งเปิดตัววันนี้หรือไม่ ทุกคนน่าจะมีความรู้สึกร่วมกันอย่างนึงก็คือความเหนื่อยล้าจากการที่เทคโนโลยีที่วิ่งไล่กวดเราเร็วขึ้นทุกวัน บางคนอาจจะกังวลว่าตัวเองจะยังมีงานอยู่ไหม จะโดนแทนที่เมื่อไหร่ หรือ จะลงทุนหรือทำอะไรดีถึงจะมีอนาคต พี่ Suparit Suwanik ที่มาเยี่ยมพีพีที่ MIT บอกพีพีควรเขียนอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ในช่วงเวลาแบบนี้ (ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม … เลยลองเขียน post นี้มาครับ 555)
โดยส่วนตัวพีพีคิดว่าสิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิตในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็ว คือการฝึกตกผลึกความรู้ ประสบการณ์ และข้อสังเกตออกมาเป็นหลักคิดบางอย่างที่คอยฉุดให้เราไม่ไหลไปกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงจนหลงทางไปเรื่อยๆ ในบริทบทของ AI พีพีเลยคิดว่าสิ่งที่น่าจะมีประโยชน์คือ ข้อคิดที่ timely และ timeless ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับ model ใดโมเดลหนึ่งแต่ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของ AI ที่ไม่ขึ้นตรงกับเวลาหรือ version ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าใจสิ่งใหม่ๆ เช่นการมาของ GPT-5 ของพี่แซมมี่หรือความพยายามของพี่มาร์คในการทำ personal superintelligence ได้เช่นกัน
โดยข้อสังเกตอันนึงที่พีพีคิดว่าค่อนข้างสากลและเป็นจริงไม่ว่าจะเป็น AI รุ่นไหนๆ ก็คือการที่ "AI ขยายความเป็นมนุษย์ของคนๆนั้น ทั้งด้านด้านมืดและด้านสว่าง ทั้งปัญญาและความโง่เขลา" ทำให้เมื่อปัญญาประดิษฐ์พัฒนาขึ้น การพัฒนาของปัญญามนุษย์ยิ่งสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก แต่น่าเสียดายที่เรามักจะตื่นเต้นกับปัญญาประเภทแรกจนลืมปัญญาประเภทหลังที่เรามีอยู่กับตัว
Steve Jobs เคยกล่าวไว้ว่าเทคโนโลยีเปรียบเสมือนพาหนะของความคิด (Bicycle of the Mind) ยิ่ง AI มีประสิทธิภาพมากขึ้นๆ ก็เหมือนรถแข่งที่มีเครื่องแรงมากๆ ถ้าคนขับไม่เก่ง ไม่ระวังตัว ไม่มีประสบการณ์ แทนที่จะไปข้างหน้าได้ไกลก็อาจจะขับชนเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้นหลายเท่า ยิ่งถ้าเรามี AI agents ที่ทำงานพร้อมกันหลายๆตัวก็เหมือนเรากำลังขับรถแข่งพร้อมกันหลายๆคันยิ่งต้องคิดเป็นพิเศษ
พีพีจะไม่พูดถึง GPT-5 ว่าทำอะไรได้บ้าง (หลายๆสื่อคง cover สิ่งนี้แล้ว) แต่อยากพูดถึงประเด็นที่ว่า "GPT-5 นั้นฉลาดใน level PhD หรือคนจบปริญญาเอก" ทำให้หลายคนอาจจะถามว่าแล้วเราจะไปเหนื่อยเรียนรู้พัฒนาความคิดตัวเองอีกทำไม? ความน่าสนใจของประโยคนี้คือมันถูกกล่าวขึ้นในขณะที่บริษัท Tech ยักษ์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง AI ในปัจจุบันนั้นกำลังทุ่มเงินไม่อั้นในการดึง PhD researcher เก่งๆ เข้าทีม นี่เป็นอีกความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นเสมอมาในวงการ tech แบบเดียวกับที่ Tech CEO มัก promote ให้เอา Tech มาใช้กับเด็ก แต่ลูกตัวเองกลับไม่ให้ใช้ แต่ให้เล่นของเล่นที่พัฒนาความคิดแบบ non-tech แทน
โดยส่วนตัวพีพีคิดว่าการจบปริญญาเอกไม่ได้วัดว่าเราสามารถตอบคำถามยากๆ ได้ถูกต้องแค่ไหนแบบที่ AI ถูกทดสอบ แต่เป็นการฝึกให้คนตั้งคำถามที่ไม่เคยมีใครถาม ไม่มี ground truth มาก่อน แล้วสามารถทำ research เพื่อตอบคำถามนี้มาได้ ซึ่งแน่นอนว่า AI สามารถเป็นตัวช่วยในกระบวนการได้เหมือนรถแข่ง แต่นั่นหมายถึงเราต้องการคนขับที่เก่งมากๆๆด้วย
งานวิจัยหลายๆชิ้นรวมถึงงานของพีพีเองที่ MIT ด้วยโชว์ให้เห็นว่า AI เป็นเหมือนกระจกเว้าที่ขยายความสามารถและความคิดของผู้ใช้ เราจะเห็นตัวอย่าง เช่น programmer ที่มีประสบการณ์ได้ประโยชน์จาก AI coding assistant มากกว่าคนเพิ่งเริ่มต้นซึ่งยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว project ต้องการอะไร หรือ code ที่มีคุณภาพเป็นแบบไหน เร็วๆนี้เราก็เพิ่งเห็นอีกตัวอย่างว่าถ้าคนไม่มีสติ โดนยุยงให้กระหายสงครามเค้าจะสามารถใช้ AI สร้าง video ออกมาเพื่อปลุกระดมคนให้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะใช้ AI แก้ปัญหาความขัดแย้งที่น่าจะเป็นผลดีกว่ารึเปล่าในระยะยาว?
ดังนั้นการใช้ AI โดยไม่พยายามพัฒนาความคิดและปัญญาก็เหมือนการขับรถแบบไม่รู้เส้นทาง ยิ่งเครื่องแรงก็ยิ่งหลงไปได้ไกล เช่นเดียวกับที่ NYTimes เพิ่ง report การที่ AI ชักจูงให้คนยิ่งเสียสติจากการใช้ AI ขยายความเชื่อผิดๆของตัวเองจนเกิดผลกระทบร้ายแรง
ทุกวันนี้ทั้งเอกชน ภาครัฐ โรงเรียน ในประเทศบางประเทศพยายามรณรงค์สอนคนให้ใช้ AI เต็มไปหมด มี "มหาวิทยาลัย AI" เกิดขึ้นมากมาย โดยส่วนมากเน้นไปที่การสอนให้ใช้เครื่องมือเป็น (ซึ่งคือสิ่งที่ง่ายที่สุดเพราะเครื่องมือเหล่านี้ออกแบบมาให้ใช้ได้ง่ายโดยไม่ต้องมีคู่มืออยู่แล้ว) แทนที่จะสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ การสำเร็จรูปแบบนี้อันตรายเพราะมันสร้างให้คนรู้สึกว่าตัวมี skill AI แล้ว โดยลืมไปว่าเค้าไม่ใช่คนเดียวที่เข้าถึง AI ได้ ยิ่งถ้าสิ่งที่ AI gen ออกมานั้นง่าย แปบเดียวได้ มีสูตรสำเร็จ แบบที่มักจะถูกโฆษณาว่าคือสรรพคุณวิเศษของ AI คนส่วนมากก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว?
อย่างที่ Pichet Klunchun ศิลปินแห่งชาติฝรั่งเศส ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Ordre des Arts et des Lettres ได้กล่าวไว้ว่า "ความสำเร็จที่มีสูตรสำเร็จนั้นไม่ใช่ความสำเร็จ" ต่อให้ AI สามารถช่วยให้คนทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้นจริง แต่ถ้าทุกคนคิดแต่สูตรสำเร็จเหมือนๆกัน AI ที่เพิ่มศักยภาพก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่มีใครมี competitive edge หรือความสามารถแตกต่างเหนือกว่าใครจริงๆ เป็นมนุษย์ที่ถูกทดแทนได้…
ดังนั้นการพัฒนาปัญญามนุษย์ในยุค AI ให้เข้าใจในความรู้อื่นๆ ที่จะช่วยให้เรารู้ว่าจะใช้ AI อย่างไรจึงจะเกิดคุณค่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่ "ความรู้" อย่างเดียวก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะแม้วันนี้เราจะมีความรู้สำเร็จรูปมากมายจาก AI ที่ฟังดูโคตรฉลาด แต่ "ความรู้" จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมันทำให้เราเกิด "การเรียนรู้"
โดยส่วนตัวพีพีมองว่า "ความรู้" กับ "การเรียนรู้" นั้นไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้ความรู้มีเยอะและเข้าถึงได้ง่ายมากทั้งจาก Internet, ถาม AI, ดู Youtube, Tiktok, etc แต่ทำไมเราไม่เห็นการเรียนรู้เกิดขึ้นในวงกว้าง? อย่างที่ Angela Duckworth นักจิตวิทยาคนสำคัญกล่าวไว้ว่าในยุค AI นักเรียนต้องการครูมากขึ้นกว่าเดิมอีก (ไม่ใช่น้อยลง) เพราะครูสามารถ hold space สร้างพื้นที่ปลอดภัยจากสิ่งรบกวนให้เด็กเรียนรู้ได้ ด้วย distraction ตัวดูดสมาธิต่างๆมากมายในโลกทุกวันนี้ เราอยู่ท่ามกลางข้อมูลมหาศาล มี high information, low clarity คือ ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวเข้าไปเรียนรู้ไม่ได้ ดังนั้นความรู้ไม่ว่าจาก AI หนังสือ หรืออะไรก็แล้วแต่นั้นก็คือเหมือนวัตถุดิบที่ไม่ได้มีประโยชน์ทันทีแต่ต้องผ่านการย่อยและตกผลึกผ่านประสบการณ์และความรู้เดิมก่อน กระบวนการของการเชื่อมต่อความรู้ในหัวแล้วตกผลึกออกมาเป็นปัญญา แนวคิดเฉพาะตัวคือสิ่งสำคัญมากๆๆ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถแยกแยะว่าความรู้ไหนเหมาะสมกับบริบทของ "ตัวเรา" หรือ ความรู้ไหนควรใช้หรือไม่ควรใช้ตอนไหน
สุดท้ายพีพีเชื่อว่ายิ่งเรามีปัญญาและแนวคิดที่ตกผลึกจากองค์ความรู้หลากลายมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีแผนที่ในหัวที่กว้างขึ้นเท่านั้น ทำให้เห็นหนทางใช้ AI เป็นพาหนะของความคิดอย่างที่ Steve Jobs กล่าว พาเราไปในที่ๆน่าสนใจ สร้างสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ และ unique ได้จริงๆ พีพีไม่ได้พยายาม romanticize ว่ามนุษย์นั้นสุดท้ายสำคัญกว่า AI แต่ถ้าเราไม่ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญญามนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีอนาคตต่อให้เก่งแค่ไหน อย่าง superintelligence ก็อาจจะทำให้เกิด super stupidity (โง่ชิบหายยย…) ได้เหมือนกัน.
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO