ทองฟิวเจอร์ทำ All Time High พุ่งทะลุ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธันวาคมเมื่อเวลา 18.43 น. ตามเวลาไทย ปรับเพิ่มขึ้น 19.60 ดอลลาร์ หรือ 0.57% สู่ระดับ 3,473.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากก่อนหน้านี้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,534.10 ดอลลาร์/ออนซ์
สะท้อนถึงการขานรับจากนักลงทุนต่อข่าวที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำทั่วโลก
รายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) เมื่อวานนี้ ระบุว่า สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมที่อัตรา 39.6% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ทองคำแท่งเพื่อการลงทุนถือเป็นสินค้าปลอดภาษี (0%)
ทั้งนี้ การประกาศดังกล่าวมาจากการที่สำนักงานศุลกากรได้ระบุให้ทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมและ 100 ออนซ์ ถูกจัดอยู่ในหมวดรหัสศุลกากรที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ตลาดทองคำมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทองคำแท่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก.
รายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) ระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการหลอมทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากการเก็บภาษีทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมจะทำให้ต้นทุนการผลิตทองคำเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดทองคำได้รับการกระตุ้นให้มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น
ราคาทองคำยังได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอในสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนกันยายน หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนตุลาคม และอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธันวาคม
การคาดการณ์เหล่านี้ทำให้ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไป เนื่องจากทองคำมักได้รับการสนับสนุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ.