โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อสังหาริมทรัพย์

เปิดมุมมอง “ลิซ่า งามตระกูลพานิช” วิกฤต2เด้ง เหล็กขาด-ค่าแรง 400 พุ่ง

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างหนักหน่วง จากวิกฤต “เหล็กขาดตลาด” และนโยบาย “ค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาท” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และบางกิจการในต่างจังหวัดซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อต้นทุนการก่อสร้าง ระยะเวลาการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในภาคส่วนนี้

ไม่เพียงเท่านั้นสถานการณ์เหล็กขาดตลาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องประสบปัญหาในการจัดหาวัตถุดิบหลักในการก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณ ส่งผลให้ราคาเหล็กพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและการส่งมอบล่าช้า สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อการบริหารจัดการโครงการ

ขณะเดียวกันการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็น 400 บาท แม้จะเป็นนโยบายที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน แต่กลับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ซํ้าเติมต้นทุนของผู้ประกอบการ

โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว ทั้งในด้านการบริหารจัดการต้นทุน การนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงาน หรือแม้กระทั่งการพิจารณาชะลอการลงทุนในบางโครงการ

จุดชนวนเหล็กขาดแคลน

ล่าสุดนางสาวลิซ่า งามตระกูลพานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรณีที่เหล็กขาดตลาด ส่งผลให้ 3 โรงงานขนาดใหญ่ปิดนั้น

มองว่าตั้งแต่เกิดเหตุตึกสตง.ถล่ม มีการให้ข่าวและพูดกันมากถึงคุณสมบัติเหล็กตัว T และเหล็ก non-T ทำให้บางหน่วยงานและเจ้าของงานเอกชนบางแห่งมีความไม่แน่ใจว่าควรจะใช้เหล็กชนิดใด

ทั้งนี้จากประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ผลิตไม่กล้าผลิตเหล็กเข้าสู่ตลาดเต็มกำลังเหมือนเดิม รวมทั้งมีการปิดโรงงานที่ใช้กระบวนการผลิตแบบเตา If ทำให้เหล็กขาดแคลน และมีราคาสูงขึ้นกว่า 15% นับตั้งแต่เกิดเหตุตึกสตง.ถล่ม

อย่างไรก็ดีในข้อเท็จจริงเหล็ก T เป็นเหล็กที่ใช้กันมายาวนาน และไม่เคยเกิดปัญหาใดๆ ส่วนเหล็ก non-T เป็นเหล็กที่ต้องสั่งผลิตและมีราคาสูงกว่าเหล็กตัว T ประมาณ 1-1.25 บาท ต่อกิโลกรัม

แนะรัฐคุมราคาเหล็ก

ขณะเดียวกันในงานภาครัฐ หน่วยงานผู้ออกแบบควรจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าให้ใช้เหล็กชนิดใดและให้ราคาที่สอดคล้องกับชนิดของเหล็กที่ระบุให้ใช้

นอกจากนี้หากมีประเด็นว่าเหล็กที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ If ไม่ได้คุณภาพ ภาครัฐก็ควรมีมาตรการในการจัดการโรงงาน ที่ใช้เตา IF ให้ปรับ ปรุงคุณภาพ และหากโรงงานดำเนินการแล้วก็ควรให้กลับมาเปิดดำเนินการผลิตได้ตามปกติ

“นอกจากนี้ยังไปถึงผู้ผลิตและระบบขนส่งทั้งหมดด้วย ย่อมเป็นผลดี อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมก่อสร้างมีปัจจัยลบ กดดันอยู่เยอะ คงต้องดูกันต่อไปว่าเงินส่วนนี้จะเข้าไปที่ไหนบ้าง” นางสาวลิซ่า กล่าว

ขึ้นค่าแรง 400 บาท ซํ้าเติมผู้รับเหมา

ส่วนกรณีที่มีการขึ้นค่าแรง 400 บาทในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้นั้น นางสาวลิซ่าประเมินว่า การขึ้นค่าแรงทุกครั้งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างอยู่แล้ว

แม้ว่าในเขตกรุงเทพฯส่วนมากจะมีค่าแรงสูงกว่า 400 บาท ส่วนที่เป็นกรรมกรและค่าแรงอาจจะยังไม่ถึงก็ต้องขยับขึ้น

อย่างไรก็ดีเมื่อค่าแรงขยับขึ้นในระบบทั้งหมดก็ต้องขยับขึ้นตาม ขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดี งานที่ผู้รับเหมากำลังทำอยู่ได้สัญญามาแล้วจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

“ช่วงเวลามีข่าวค่าแรงขยับขึ้น ค่าครองชีพก็จะขยับขึ้นตาม ซึ่งจะเดือดร้อนกันหมด เวลาค่าแรงขยับขึ้นค่าสินค้าต่างๆรวมถึงค่าขนส่งก็ต้องขยับขึ้นด้วย เพราะผู้ผลิตเขาก็ใช้แรงงานเหมือนกัน ดังนั้นผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงทุกครั้งมันมีทั้งผลกระทบทางตรงและผลกระทบทางอ้อม” นางสาวลิซ่า กล่าว

งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันจ้างงาน 4ล้านคน

นางสาวลิซ่า กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ภาครัฐมีการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้านบาทนั้น หากงบประมาณในส่วนนี้เข้ามาสู่อุตสาหกรรมก่อสร้าง เงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นและถึงคนจำนวนมาก เพราะอุตสาหกรรมก่อสร้างสามารถจ้างงานประมาณ 4 ล้านคน

สำหรับงบประมาณกลางปี 2568 วงเงิน 157,000 ล้านบาท รัฐบาลมอบแต่ละหน่วยงานจัดทำคำของบประมาณเพื่อเร่งอนุมัติและดันงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในไตรมาส 3 ปี 2568

ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ล็อตแรกวงเงิน 115,000 ล้านบาท จากโครงการที่เสนอเข้ามาทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท เพื่อให้มีการเริ่มดำเนินโครงการและผูกพันงบประมาณภายในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ เสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป

โดยงบกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก วงเงิน 115,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 73.7% แยกเป็นโครงการนํ้า 39,136 ล้านบาท คิดเป็น 33.9%และโครงการคมนาคม 45,864 ล้านบาท คิดเป็น 39.8%

2.ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท คิดเป็น 8.7% 3.ด้านการส่งออก/ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท คิดเป็น 9.6% 4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ 9,201 ล้านบาท คิดเป็น 8%

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,110 วันที่ 3 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

วันธงชัย ฤกษ์มงคล วันพระเดือนกรกฎาคม 68 ตรงกับวันใด เช็กที่นี่

50 นาทีที่แล้ว

เปิดตลาดหุ้นภาคเช้าบวก 0.66 จุด ยืน 1,110.67 จุด พบ KTC-SCB ราคาเด้ง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เช็กตารางแข่ง รายชื่อ 8 ทีมทะลุรอบก่อนรองฯฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2025

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สรุป “ค่าแรงขั้นต่ำ” ใหม่ 1 ก.ค.2568 สูงสุดวันละ 400 บาท 6 จังหวัด

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ

พฤกษาผนึกไทยเวย์ ดันคอนโดริมน้ำเจริญกรุงสู่ตลาดต่างประเทศ

กรุงเทพธุรกิจ

เฟรเซอร์สเร่งเครื่องลงทุนอุตสาหกรรมขยายสู่ไทย-เวียดนาม-อินโด

กรุงเทพธุรกิจ

"ลลิล พร็อพเพอร์ตี้" ชี้ “รังสิต” ศักยภาพพุ่ง รับการเติบโตปี 68 ดันดีมานด์แนวราบ เปิดเกมรุกด้วยบ้านคุณภาพตอบโจทย์ Real Demand

สยามรัฐ

CP LAND ปักหมุด “กังสดาล” ส่งคอนโดมิเนียมน้องใหม่ ตอบโจทย์คนเมืองทั้งอยู่จริงและลงทุน

เดลินิวส์

‘MR. HO-ME’ มาสคอตใหม่ HBA ดันแบรนด์รับสร้างบ้านสู่ใจเจนใหม่

กรุงเทพธุรกิจ

พลัสฯ เสริมทัพภูเก็ต ดันบริการดูแลบ้านพรีเมียมครบวงจร

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...