NUT แย้มแผนครึ่งหลังปี 68 จ่อเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์-ดันสัดส่วนออนไลน์ พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ รับเทรนด์สุขภาพโตต่อเนื่อง
นายภาคิณ กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูทริชั่น โปรเฟส จำกัด (มหาชน) หรือ NUT ผู้นำด้านการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารครบวงจร เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มุ่งเน้นการขยายการผลิตผลิตภัณฑ์ใน 2 กลุ่มหลัก ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 87% และ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จำนวน 13% โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการเพิ่มนวัตกรรม พร้อมขยายฐานลูกค้าในทุกช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนการเพิ่มศักยภาพด้านการขายในกลุ่มช่องทางออนไลน์ อาทิ ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง (Digital marketing) และ ตลาดออนไลน์ (Marketplace) ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 75.7% สำหรับช่องทางออฟไลน์ อาทิ โทรทัศน์, โทรศัพท์, ร้านขายยา, ร้านค้าปลีก ฯลฯ อยู่ในระดับ 17.5%, การรับจ้างผลิต (OEM) 6.8%
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้แก่ Abalone Collagen Peptide plus Undenatured Type II เสริมในวันที่หยุดสร้าง เติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายใน เพื่อการเคลื่อนไหวที่มั่นคงในทุกวัน มีส่วนช่วยในการดูแลข้อต่อให้แข็งแรง มีบทบาทต่อระบบประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อ และReal Collagen Plus Ceramide From Rice Extract เติมเต็มความชุ่มชื้นจากภายใน ด้วยคอลลาเจนเปปไทด์จากปลา และเซราไมด์จากสารสกัดข้าว มีส่วนช่วยในการดูแลผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น แลดูสุขภาพดี พร้อมสารอาหารที่มีบทบาทในกระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย
ขณะที่บริษัทยังมีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในมิติของการดูแลรูปร่าง ภูมิคุ้มกัน และ สมดุลภายในร่างกาย โดยมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด และ ผลักดันรายได้ของบริษัทให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ NUT ยังคงเดินหน้าแผนพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นจุดเด่นของบริษัทในการดำเนินงานอย่างครบวงจร สามารถควบคุมการผลิตได้ทุกขั้นตอน ผ่านโรงงานที่ได้รับมาตรฐานสากล เพื่อผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น อีกทั้งยังพร้อมเปิดรับความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์, การรับจ้างผลิต (OEM) และ การต่อยอดนวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์และรูปแบบการสื่อสารแบรนด์
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน ส่งผลให้ตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบเฉพาะบุคคลหรือเฉพาะกลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ถือเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญต่อความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ ตลาดเครื่องสำอางก็ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจ และ มีแนวโน้มความต้องการการดูแลเฉพาะด้านมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ NUT ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมสร้างความแตกต่างในตลาด และเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
“หลังจากที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เราได้พัฒนาศักยภาพการดำเนินงาน ทั้งในด้านการผลิตสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพและการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น พร้อมกับการเดินหน้าแผนการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ ขณะเดียวกันเรายังคงมองหาโอกาสการสร้างความร่วมมือในทุกรูปแบบกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จากแผนการดำเนินงานทั้งหมด ทำให้ NUT มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายภาคิณ กล่าว