จัดพอร์ต "ทอง” ยังร้อนแรง! MTS–Yardeni แนะสะสม 3,200–3,300 ดอลลาร์ พอร์ตใหญ่ถือ 20% พอร์ตเล็กถือ 50–60%
ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น โดย Ed Yardeni ประธาน Yardeni Research ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำในปี 2025 มีโอกาสแตะ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ และใสปี 2026 อาจถึง 5,000 ดออลลาร์/ออนซ์
หากภาวะเงินเฟ้อเกิดแรงกระเพื่อมรอบใหม่ เช่น ราคาน้ำมันพุ่ง หรือเกิดวัฏจักร "ค่าแรงดันเงินเฟ้อ" (Wage‑Price Spiral) คล้ายยุค 1970
…หลากปัจจัยหนุนมาจาก ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลก การกระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์ (De‑dollarization) หลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย และกลุ่ม BRICS เริ่มสะสมทองมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์ และสะท้อนจาก PBOC ที่เพิ่มทองในสำรอง 7 เดือนติดต่อกัน
ความไม่แน่นอนอย่างสงคราม การแช่แข็งทรัพย์สินของรัสเซีย และนโยบายของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ล้วนกระตุ้นดีมานด์ทอง
…ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ราคาทองคำได้ปรับขึ้นมากกว่า 25% ตั้งแต่ต้นปี และสามารถยืนอยู่ในกรอบ 3,100–3,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้อย่างแข็งแกร่ง
บทวิเคราะห์จาก Advisor Perspectives ยังประเมิน “กรณี Bullish” ว่าหากเกิดความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือ Fed ปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ราคาทองคำอาจพุ่งทะลุ 3,500 ไปแตะ 3,900 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS Gold) ระบุว่า สาเหตุที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากหลายปัจจัย เช่น ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ, ความกังวลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ทางการค้าระหว่างประเทศ, รวมถึงความไม่แน่นอนเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยเฉพาะสงครามการค้าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทองคำขึ้นในปี 2024 และการลดดอกเบี้ยของ Fed จะทำให้ทองคำขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนจึงได้จาก Capital Gain
แม้สงครามการค้าที่เริ่มสงบลงจะทำให้ราคาทองคำร่วงลงมาบ้าง แต่ภาวะสงครามยังไม่จบและพร้อมปะทุได้ตลอดเวลา ทำให้ทองคำขึ้นเป็นพักๆ
Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยอาจเริ่มในเดือนกันยายน ทองคำเปลี่ยนจาก Commodity Asset เป็น Currency Reserve เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มทองคำเป็นทุนสำรอง และความกังวลเรื่องหนี้สินของสหรัฐฯ โอกาสที่ทองคำจะตกลงต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์มีน้อย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของค่าเงินบาทต่อราคาทองคำ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า บาทจะแข็งค่า
…ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำจะถูกกดดัน 1,600 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ทองคำในรูปเงินบาทจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าทองคำในรูปดอลลาร์ แนวโน้มระยะยาวดอลลาร์จะอ่อนค่า ทำให้บาทแข็งค่า
MTS Gold คาดการณ์ว่าปลายปีนี้ทองคำจะทำ All Time High ใหม่ ทะลุ 3,500 ดอลลาร์ และอาจถึง 3,700 ดอลลาร์ ปีหน้าอาจเห็น 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ และทองไทยอาจถึง 60,000 บาท แนวโน้มทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นในระยะยาว 2-3 ปี
กลยุทธ์การลงทุน ในทางเทคนิค ทองคำกำลังสร้างฐานที่ 3,200-3,300 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงที่ควรเข้าซื้อสะสม พอร์ตการลงทุนควรมีทองคำประมาณ 20% สำหรับนักลงทุนที่มีพอร์ตมากกว่า 5 ล้านบาท และ 50-60% สำหรับนักลงทุนที่มีเงินน้อย
…สำหรับการออมทอง ความเสี่ยงต่ำมาก ควรใช้เงินเย็นและซื้อเต็มจำนวน ในระยะยาว ทองคำให้ผลตอบแทนดีกว่าการออมเงิน โดยเฉลี่ย 3% ถึง 30% ต่อปี และทองคำชนะเงินเฟ้อ ควรทยอยซื้อสะสม ไม่ต้องสนใจราคาขึ้นลงในระยะสั้น