หุ้นกลุ่มแบงก์ยังสดใส? ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
หุ้นกลุ่มแบงก์ยังสดใส? ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หุ้นในกลุ่มธนาคารยังคงเป็น "สินทรัพย์หลบภัย" ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ "เสน่ห์ของเงินปันผล" ที่สูงและสม่ำเสมอ ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะป้องกันความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี
ในช่วงที่ธนาคารกำลังทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2568 ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นภาพที่น่าสนใจ โดย SCB ยังคงครองแชมป์หุ้นปันผลสูงสุดในกลุ่ม ด้วยอัตราผลตอบแทน (YTD) สูงถึง 8.85% ตามมาติดๆ ด้วย TISCO ที่ 7.91%
แต่ภายใต้ตัวเลขปันผลที่สวยงาม ธนาคารแต่ละแห่งกำลังเผชิญกับความท้าทายและมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างไร? SPOTLIGHT เชิญคุณผู้อ่านมาเจาะลึกข้อมูลรายตัวเพื่อค้นหาโอกาสในการลงทุน
หุ้นธนาคาร: ใครเด่น ใครเผชิญความท้าทาย?
1. บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) - SCB
- ผู้บริหาร: อาทิตย์ นันทวิทยา
- มาร์เก็ตแคป: 397,319 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 8.85% (สูงสุดในกลุ่ม)
- กำไร Q1/68: 12,502 ล้านบาท
- บทวิเคราะห์ (บล.กรุงศรี): คาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาส 2/68 อาจชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (-17% Q-o-Q) จากแรงกดดันด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย แต่คาดว่าจะยังเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน (+4% Y-o-Y) จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นหลังปิด Robinhood และการตั้งสำรองที่ลดลง
2. บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) - TISCO
- ผู้บริหาร: ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์
- มาร์เก็ตแคป: 78,463 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 7.91% (รองแชมป์)
- กำไร Q2/68: 1,644 ล้านบาท (-6.2% Y-o-Y)
- บทวิเคราะห์ (จากรายงานผลการดำเนินงาน): TISCO ยังคงสถานะ "ราชาหุ้นปันผล" ที่จ่ายผลตอบแทนสูงและสม่ำเสมอ แม้กำไรในไตรมาส 2 จะลดลงจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับผลกระทบจากทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยซึ่งชะลอตัวตามภาวะตลาดทุนที่ผันผวน
3. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) - KBANK
- ผู้บริหาร: ขัตติยา อินทรวิชัย
- มาร์เก็ตแคป: 374,354 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 7.59%
- กำไร Q1/68: 13,791 ล้านบาท
- บทวิเคราะห์ (บล.กรุงศรี): KBANK เผชิญความท้าทายชัดเจน โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 2/68 จะลดลงทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อน (-4% Y-o-Y) และไตรมาสก่อน (-12% Q-o-Q) ปัจจัยกดดันหลักมาจาก NIM ที่ลดลง, การหดตัวของสินเชื่อในทุกกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ชะลอตัว
4. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) - KTB
- ผู้บริหาร: ผยง ศรีวณิช
- มาร์เก็ตแคป: 297,690 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 7.25%
- กำไร Q1/68: 11,714 ล้านบาท
- บทวิเคราะห์ (บล.กรุงศรี): คาดว่ากำไรไตรมาส 2/68 จะลดลง -3% Y-o-Y และ -7% Q-o-Q เนื่องจาก NIM ที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ย แม้จะยังมีการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่มภาครัฐเป็นปัจจัยหนุนอยู่ก็ตาม
5. ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) - TTB
- ผู้บริหาร: ปิติ ตัณฑเกษม
- มาร์เก็ตแคป: 183,434 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 7.04%
- กำไร Q2/68: 5,004 ล้านบาท (-7.2% Y-o-Y)
- กำไรของ TTB ได้รับผลกระทบจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายและการช่วยเหลือลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารสามารถ บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ตามเป้าหมาย โดยหนี้เสีย (NPL) ลดลงมาอยู่ที่ 2.73% และยังคงอัตราส่วนเงินสำรองฯ ต่อหนี้เสียในระดับสูงที่ 149% สร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคง
6. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) - BBL
- ผู้บริหาร: ชาติศิริ โสภณพนิช
- มาร์เก็ตแคป: 275,828 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 5.88%
- กำไร Q2/68: 11,840 ล้านบาท
- BBL โชว์ฟอร์มแข็งแกร่ง แม้กำไรไตรมาส 2 จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนตามปัจจัยฤดูกาล แต่ กำไรสุทธิครึ่งปีแรกยังเติบโตถึง 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์และควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางความท้าทาย
7. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) - BAY
- ผู้บริหาร: เคนอิจิ ยามาโตะ
- มาร์เก็ตแคป: 161,091 ล้านบาท
- ปันผล YTD: 3.88%
- กำไร Q2/68: 8,295 ล้านบาท (+10.1% Q-o-Q)
- บทวิเคราะห์ (จากรายงานผลการดำเนินงาน): กำไรของ BAY ในไตรมาส 2 เติบโตอย่างน่าสนใจเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สะท้อน ความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุน ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยชดเชยแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยได้ และทำให้กำไรยังคงเติบโตได้ 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เลือกลงทุนอย่างไรในวันที่ความเสี่ยงรอบด้าน?
หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงมีความ "สดใส" ในแง่ของการเป็น สินทรัพย์ที่จ่ายเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ ซึ่งตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องไม่มองข้าม "ความเสี่ยงรอบด้าน" ที่กำลังเป็นแรงกดดันสำคัญ:
- แรงกดดันต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM): จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ซึ่งกระทบรายได้หลักโดยตรง
- ความผันผวนของตลาดทุน: ส่งผลต่อรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เช่น ค่าธรรมเนียมจัดการกองทุนและธุรกิจวาณิชธนกิจ
- การเติบโตของสินเชื่อ: ที่อาจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งจากสงครามการค้า และนโยบาย reciprocal tariffs โดนัล ทรัมป์ ทำให้ภาคการส่งออกเผชิญความท้ายทาย
- หนี้ครัวเรือนสูง : Q2/68 87.4% ต่อ GDP ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
- คุณภาพสินทรัพย์: แม้ส่วนใหญ่ยังบริหารจัดการได้ดี แต่ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหนี้เสียในกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง
ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ณ เวลานี้ จึงเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่าง "ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าดึงดูดใจ" กับ "ความท้าทายในการเติบโตของกำไรในอนาคต" การเลือกธนาคารที่มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว