แนะยกระดับรับมืออุทกภัยเชียงราย-แก้สารพิษแม่น้ำกก
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 30 มิถุนายน 2568 เวลา 15.54 น. • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทกรุงเทพฯ 30 มิ.ย.- “รองโฆษก กมธ.ปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา” แนะยกระดับรับมืออุทกภัยเชียงรายทุกด้าน เร่งสื่อสาร เตือนภัยถึงชุมชน-จัดข้อตกลงระดับท้องถิ่น ย้ำต้องแก้ปัญหาสารพิษในแม่น้ำกกให้เป็นรูปธรรม
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะรองโฆษกคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงรายว่า ตนในฐานะวุฒิสมาชิกได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอส่งกำลังใจให้ประชาชนชาวเชียงรายทุกคนที่ประสบภัยในครั้งนี้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 4,400 หลังคาเรือน โดยสถานการณ์ขณะนี้ถือว่าวิกฤติจากฝนตกหนักต่อเนื่องและน้ำป่าไหลหลาก
“อุทกภัยครั้งนี้หนักมากจริงๆ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกคนที่กำลังปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ทั้งต่อชีวิตตนเองและประชาชน สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังหลังจากนี้ ต้องจับตาเรื่องดินโคลนถล่มเป็นพิเศษด้วย” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวว่า ควรมีการยกระดับมาตรการรับมืออุทกภัยในทุกด้าน และขอให้เร่งจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างทันท่วงที และเปิดระบบตรวจสอบสถานะการได้รับความช่วยเหลือเพื่อป้องกันความล่าช้าหรือการตกหล่นของผู้ประสบภัย
“ต้องไม่ให้มีใครตกหล่น และต้องไม่มีใครถูกมองข้ามในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เราต้องเปลี่ยนจากระบบ ‘ตั้งรับ’ ไปเป็นระบบ ‘ป้องกันเชิงรุก’ โดยต้องประสานงานกับผู้นำท้องถิ่น อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครภัยพิบัติในพื้นที่ให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม” น.ส.ภิญญาพัชญ์กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.ภิญญาพัชญ์ ยังกล่าวถึงปัญหาในระดับข้ามพรมแดนว่า รัฐบาลควรเร่งเจรจาระหว่างประเทศเพื่อจำกัดกิจกรรมจากเหมืองทองคำที่อาจปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รวมถึงเรียกร้องให้มีข้อตกลงด้านข้อมูลน้ำระหว่างกันในระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนน้ำหลากจากต้นน้ำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
“แม่น้ำกกไม่ใช่เพียงแค่แหล่งน้ำธรรมชาติ แต่เป็นเส้นเลือดของเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนเชียงราย หากเกิดการปนเปื้อนจากสารโลหะหนัก หรือไซยาไนด์จากกิจกรรมเหมือง อาจส่งผลสะสมต่อสุขภาพคนทั้งจังหวัดในระยะยาว” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.ภิญญาพัชญ์ ยังเรียกร้องให้มีการติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ (real-time monitoring) ในแม่น้ำสายหลัก พร้อมเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้ เพื่อให้ประชาชนและภาคประชาสังคมมีบทบาทร่วมในการเฝ้าระวังปัญหาสิ่งแวดล้อม
“สิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ และเราต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยที่จะมาถึงก่อนที่มันจะกลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต”
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ยังย้ำว่า นอกจากการรับมือเชิงโครงสร้างแล้ว ยังควรส่งเสริมการสร้าง “เครือข่ายอาสาสมัครเตือนภัย” ตามหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตเสี่ยงน้ำหลาก เพื่อให้มีบุคลากรในพื้นที่คอยรายงานสถานการณ์และดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก
“ในช่วงเวลาวิกฤต คนที่เปราะบางที่สุดมักเป็นคนที่ถูกลืม ดังนั้นการออกแบบระบบภัยพิบัติในอนาคต ต้องมีมุมมองของความเท่าเทียมและความยืดหยุ่นในเชิงพื้นที่ (area-based resilience) ไม่ใช่แค่แผนงานที่อยู่บนกระดาษ” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวทิ้งท้าย.-312 -สำนักข่าวไทย