ส่องจีนรับมือโลกร้อน ปฏิวัติระบบอาหาร เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสอย่างยั่งยืน
ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ระบบอาหารทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน พืชผลสำคัญต่าง ๆ ลดปริมาณลงจากภาวะฝนตกหนัก ภัยแล้ง และความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก พบว่ายอดผลผลิตข้าวลดลงแล้วกว่า 8% ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่มาจากฝนตกหนักผิดฤดูกาล และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีก 8% หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2-3 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เฉพาะในจีนเท่านั้น ตัวอย่างในแคลิฟอร์เนียก็มีการลดพื้นที่ปลูกข้าวลงถึงครึ่งหนึ่งเพราะไฟป่าและภัยแล้ง ในแอฟริกา เกิดภาวะขาดแคลนโกโก้ที่รุนแรงที่สุดจากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ ขณะที่ในสหราชอาณาจักร ประชาชนหันมาบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะราคาโปรตีนสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะซื้อหาได้ ความปั่นป่วนเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคตอีกต่อไป หากแต่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และสะเทือนถึง “โต๊ะอาหาร” ของเราทุกคน
ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว ประเทศจีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการปรับระบบอาหารให้สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ที่มีความเสี่ยงจากสภาพอากาศเป็นปัจจัยกำหนด โดยใช้แนวทางที่ผสานเป้าหมายด้านภูมิอากาศเข้ากับความมั่นคงทางอาหารอย่างเป็นระบบ ภายใต้นโยบาย “คาร์บอนคู่” หรือ dual carbon จีนตั้งเป้าจะลดการปล่อยคาร์บอนให้ถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2060 ขณะเดียวกันก็เปิดตัวกลยุทธ์ “อาหารที่มากกว่า” หรือ greater food strategy ซึ่งเน้นการจัดหาพลังงานและโปรตีนจากแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งทางบก ทางน้ำ และจากนวัตกรรม โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
แนวทางนี้สะท้อนออกมาในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริโภคของประชาชนให้หันมาสนใจอาหารที่ปล่อยคาร์บอนต่ำมากขึ้น เช่น อาหารจากพืชและโปรตีนทางเลือก จีนมีอัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น วัว ต่ำกว่าประเทศตะวันตก ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบในเชิงสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว และได้มีการออกแนวทางโภชนาการแห่งชาติฉบับใหม่ในปี 2022 ที่เน้นการกินผักมากขึ้น และลดปริมาณอาหารที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลยังลงทุนกว่า 600 ล้านหยวน ระหว่างปี 2020-2021 เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเนื้อเพาะเลี้ยงและโปรตีนจากพืช ผ่านโครงการวิจัยด้าน bio-manufacturing สีเขียว โดยมีบริษัทสตาร์ตอัปจีนหลายแห่งเริ่มระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตเนื้อสัตว์ทางเลือก ซึ่งสามารถลดการใช้พื้นที่และน้ำได้มากถึง 95–99% เมื่อเทียบกับการเลี้ยงวัวตามปกติ
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จีนกำลังดำเนินการคือการลดการสูญเสียอาหารในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิต การเก็บเกี่ยว การแปรรูป ไปจนถึงการบริโภค รายงานการพัฒนาเกษตรกรรมของจีนในปี 2023 ระบุว่า อาหารหลักของประเทศอย่างข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด สูญเสียไปมากกว่า 20% ของผลผลิตรวม โดยในช่วงการบริโภค มีการทิ้งอาหารมากถึง 5% แต่หากสามารถลดอัตรานี้ลงได้ 8% ก็จะสามารถกู้คืนอาหารได้ถึง 55 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในระบบอาหารได้อีก 20–56 ล้านตันต่อปี
ธุรกิจเอกชนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเป้าหมายเหล่านี้ เช่น การลงทุนในระบบ cold-chain logistics หรือระบบขนส่งควบคุมอุณหภูมิ เพื่อลดการเน่าเสีย การใช้เทคโนโลยี Blockchain และ IoT เพื่อติดตามอาหารจากไร่ถึงมือผู้บริโภคอย่างแม่นยำ บริษัทอย่าง Cainiao ในเครือ Alibaba กำลังพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและระบบขนส่งแบบเย็นให้แก่ผู้ผลิตอาหาร ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ออกกฎหมายและแนวปฏิบัติใหม่ที่ช่วยให้การบริจาคอาหารส่วนเกินสามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีหรือความรับผิด
สุดท้าย จีนยังหันมาให้ความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานอาหารระดับโลก โดยเฉพาะกับประเทศในกลุ่ม Global South เช่น บราซิล ซึ่งจีนเริ่มนำเข้าถั่วเหลืองที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าภายใต้การรับรองจากหน่วยงานอิสระ และร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Tropical Forest Alliance เพื่อสนับสนุนให้ประเทศผู้ผลิตเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง ถึงแม้ในบางอุตสาหกรรม เช่น น้ำมันปาล์ม จะยังมีอุปสรรคด้านการตรวจสอบย้อนกลับและความไม่พร้อมของเกษตรกรรายย่อย แต่แนวโน้มก็ชัดเจนว่าจีนกำลังใช้พลังทางเศรษฐกิจของตนเพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับสากล
เมื่อมองภาพรวม จะเห็นว่าจีนไม่ได้รอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยแก้ แต่กำลังรื้อระบบอาหารทั้งภายในประเทศและระดับโลกอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกัน โดยเชื่อมโยงเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับความมั่นคงทางอาหาร ผ่านการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค การลดขยะอาหาร และการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องระบบอาหารของตนเอง แต่ยังส่งผลในทางบวกต่อความมั่นคงทางอาหารของโลกด้วย
สำหรับภาคธุรกิจและนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้คือโอกาส ไม่ใช่อุปสรรค เพราะนอกจากจะสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการลงทุนในระบบอาหารโลกที่แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และเป็นธรรมมากขึ้นในยุคที่ภูมิอากาศไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- มหาสมุทรกำลังมืดลง ภัยเงียบจากภาวะโลกร้อน และโลกใต้น้ำอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล
- โลกร้อนลามทุกมุม น้ำแข็งขั้วโลกใต้ละลายหนัก
- ภัยแล้งคุกคาม “ฮังการี” พื้นที่เกษตรแทบไม่เหลือน้ำ โลกร้อนบีบเกษตรกรเลิกอาชีพตัวเอง
- วิกฤตผู้หญิงซีเรีย เหยื่อโลกร้อน ไร้ทางเลือก
- UN เตือนวิกฤต COP30 ค่าที่พักในบราซิลแพงลิ่ว ห่วงประเทศยากจนร่วมไม่ได้
ล่าสุดจาก TNN ช่อง16
"มาเลเซีย"ซื้อ LNG-เทคโนฯ แลกดีล"ภาษีสหรัฐฯ"
32 นาทีที่แล้ว
"สรวงศ์" แจงปลดล็อก ‘โป๊กเกอร์’ ทำตามขั้นตอนจัดเป็นกีฬา-เล่นไม่ขออนุญาตผิดกฎหมาย
37 นาทีที่แล้ว
ประชุม GBC ไทย-กัมพูชา หารือต่อเนื่องวันที่ 2 เพื่อได้ข้อตกลงหยุดยิงที่มีความยั่งยืน
39 นาทีที่แล้ว
รัฐบาลทรัมป์จับมือ Big Tech พัฒนา "ระบบนิเวศสุขภาพดิจิทัล" ยกระดับการดูแลผู้ป่วยด้วย AI
48 นาทีที่แล้ว
วิดีโอแนะนำ
ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ
โลกใกล้แตะ 1.5 องศาฯ จุดเปลี่ยนสู่หายนะ แม้เดินถูกทาง แต่ยัง “ช้าเกินไป”
TNN ช่อง16
โซเซียลแห่แชร์ หมอผีเขมร ทำของใส่ในหลวง – แม่ทัพภาค 2
INN News
วิทเยนทร์ เพิ่งรู้.. โป๊กเกอร์ เป็นกีฬา! แล้วป๊อกเด้งอะ !!
TOJO NEWS
ฮุน เซน ปิดคอมเมนต์ หลังคนแห่ อวยพรวันเกิด เกือบแสน ส่วนใหญ่เป็นชาวเน็ตไทย
Thaiger
ชาวบ้านโคราช พบอากาศยาน 3 ลำ เหนือรอยต่อโคราช – บุรีรัมย์
INN News
“นันทนา” โวยขน 3 พยานมาเก้อ กก.จริยธรรมสอบกล่าวหา สว.ขายหมูไม่ให้เข้า
สำนักข่าวไทย Online
กรุงไทยจับมือ รฟม.เปิดตัว “บัตรแมงมุม EMV”
สำนักข่าวไทย Online
ผู้เลี้ยงหมูวอนรัฐบาลไม่ลดภาษีหมูรอบสอง
AEC10NEWs