“ธนาธร”ชี้มีกลุ่มคนพยายามรักษาอำนาจเดิมดันการเมืองสู่ทางตัน
ในการเสวนา “55 ปี NATION ผ่าทางตันประเทศไทย Exclusive Talk กับ 3 ผู้นำทางความคิด” ตอนที่ 2 จัดโดยเครือเนชั่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์พิเศษในฐานะผู้ถูกมองว่าเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้า โดยมี นายวีระศักดิ์ พงศ์อักษร, นายบากบั่น บุญเลิศ และนายสมชาย มีเสน เป็นผู้ดำเนินรายการ
ธนาธรชี้สังคมไทยติดหล่มทางตัน
นายธนาธร ยืนยันว่า หากทุกฝ่ายยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย การเมืองไทยจะไม่ถึงทางตัน ทว่าในความเป็นจริงกลับมี “กลุ่มคน” พยายามดันประเทศเข้าสู่ทางตันทางการเมือง เพื่อ “หยุดเวลา” และรักษาโครงสร้างอำนาจเดิมไว้ โดยไม่เปิดทางให้พลังการเปลี่ยนแปลงได้เดินหน้า
ธนาธรย้อนภาพว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทยผ่านการเปลี่ยนผู้นำมาแล้ว 9 คน มีการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ชุมนุมใหญ่ 4 ครั้ง การยุบพรรคหลัก 9 พรรค และการเลือกตั้งเป็นโมฆะ 2 ครั้ง “นี่คือร่องรอยของโครงสร้างที่ไม่ยอมเปลี่ยน และการเมืองที่ตั้งใจจะไม่เดินไปข้างหน้า”
รธน. 3 ฉบับใน 20 ปี หาข้อสรุปไม่ได้
ธนาธร ตั้งข้อสังเกตว่า จุดสำคัญของวิกฤตทางการเมืองคือ ประเทศไทยไม่เคยมีฉันทามติเรื่อง “การแบ่งอำนาจ” ว่าฝ่ายบริหารควรมีขอบเขตเพียงใด ขณะที่รัฐธรรมนูญถูกเปลี่ยนถึง 3 ฉบับภายในระยะเวลา 20 ปี แสดงให้เห็นถึงการไร้ฉันทามติร่วมในสังคม
“ถ้าเรายังไม่สามารถออกแบบกลไกการถ่วงดุลใหม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะทั้งสองเรื่องผูกพันกันโดยตรง”
รัฐประหารยังเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ปฏิรูปกองทัพ
ธนาธรเตือนว่า “ตราบใดที่การปฏิรูปกองทัพยังไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เราไม่มีทางปิดประตูการรัฐประหารได้เลย” พร้อมยกตัวอย่างว่า แม้หลังรัฐประหารปี 2534 จะมีการปฏิรูปหลายด้าน แต่ “การปฏิรูปกองทัพ” กลับไม่มีฝ่ายใดแตะต้องอย่างจริงจัง
ธนาธรเสนอว่า การปฏิรูปกองทัพต้องทำควบคู่กัน 2 มิติ คือ
1.สร้างสมรรถนะการรบที่แท้จริงของกองทัพ
2.วางตำแหน่งให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง
พร้อมพูดคุยทางการเมือง
เมื่อถูกถามถึงข่าวลือว่าพรรคประชาชน “เอียงแดง” หรือ “เอียงน้ำเงิน” ธนาธร ยืนยันว่า การเมืองจำเป็นต้องมีการพูดคุย แต่ไม่ใช่การเจรจาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
“การพูดคุยกันต้องไม่ข้ามเส้นผลประโยชน์ของประเทศ เพราะหากมีดีลที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ส่วนตัว นั่นคือ ผลไม้พิษ”
ธนาธร ยอมรับว่าเคยพบกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง จากการติดต่อของบุคคลที่สาม และ นายชัยธวัช ตุลาธน เป็นคนปฏิเสธก่อนส่งต่อให้ตนเองไปพบแทน ส่วนการพูดคุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ธนาธร เล่าว่า เพิ่งกดโทรศัพท์ผิดและคุยกันเพียงสั้น ๆ ในเช้าวันเดียวกันกับการสัมภาษณ์
ไม่หวั่น“รวมขั้วต้าน”ในศึกเลือกตั้ง
กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอาจจับมือกันเพื่อเอาชนะพรรคประชาชน ธนาธร เห็นว่า เป็นไปได้ยากในการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะลักษณะของการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ทำให้พรรคใหญ่ต้องแข่งขันกันในทุกพื้นที่
พร้อมอธิบายว่า การเลือกตั้งระดับประเทศมีองค์ประกอบของ “กระแส – นโยบาย – บุคคล” ขณะที่การเลือกตั้งท้องถิ่นกลับใช้ “บุคคล – นโยบาย – กระแส” เป็นลำดับ จึงทำให้โมเดลรวมกันต่อต้านเป็นไปได้ยาก
โครงสร้างจัดงบแบบเดิมพาประเทศไม่ทันโลก
ธนาธรวิจารณ์ว่า ทั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต่างใช้งบประมาณที่ไม่แตกต่างกัน โครงสร้างเดิมยังคงไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ปัญญาประดิษฐ์ หรือกฎเกณฑ์ใหม่ในเวทีโลก
“ถ้ายังจัดสรรงบประมาณแบบเดิม ลูกหลานเราจะอยู่กับโลกใหม่ได้อย่างไร”
ธนาธร กล่าวว่า ถ้าได้เป็นฝ่ายบริหาร จะเร่งปฏิรูประบบงบประมาณ เพิ่มความมั่นคงในชีวิตมนุษย์ ลดงบที่ไม่จำเป็น และยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้แข่งขันในเวทีโลกได้ พร้อมผลักดันให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญผ่านประชามติในสมัยหน้า
พร้อมโหวตให้คนอื่นเป็นนายกฯ
ในช่วงท้าย ธนาธรยืนยันว่า พรรคประชาชนไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นรัฐบาล หากสถานการณ์เดินถึงทางตัน พร้อมโหวตนายกฯ ให้คนอื่น และถอยไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์
ธนาธรยังฝากคำถามถึงสังคมไทย ว่า “เราจะส่งต่อประเทศแบบที่อยู่ในหล่มทางตันเช่นนี้ ให้คนรุ่นต่อไปหรือไม่ หากไม่ต้องการให้เกิดรัฐประหารอีก ก็ต้องเริ่มที่การปฏิรูปกองทัพและการเมืองอย่างจริงจัง เพราะหากไม่เปลี่ยนแปลงในวันนี้ ประเทศไทยจะตกขบวนโลกไปอย่างแน่นอน”