การเตรียมความพร้อมในการกำกับดูแล Financial Hub
สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้นำเสนอบทความในตอนที่แล้ว ซึ่งกล่าวถึงความจำเป็นของการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการจัดตั้ง Financial Hub ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Financial Hub แข่งขันกับประเทศอื่นได้ รวมถึงประสบการณ์จัดตั้ง Financial Hub ในประเทศอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดตั้ง Financial Hub ในไทยแล้ว
ในตอนนี้จึงจะมาชวนมองถึงสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการมีเป้าหมายที่ชัดเจน และการมีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแข่งขัน นั่นคือ เราจะมีการกำกับดูแลธุรกิจเหล่านี้อย่างไร และความเสี่ยงที่สำคัญในการจัดตั้ง Financial Hub คืออะไร รวมถึงเราจะมีทางดูแลความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
การกำกับดูแลธุรกิจใน Financial Hub
ใน Financial Hub จะประกอบไปด้วยธุรกิจทางการเงินหลากหลายอย่างน้อย 7 ประเภท ซึ่งอาจมีการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ซับซ้อน การกำกับดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก โดยจากประสบการณ์ในต่างประเทศ ประเทศที่มีการกำหนด Financial Hub ไว้เป็นพื้นที่พิเศษ จะมีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจใน Financial Hub แยกออกจากหน่วยงานกำกับดูแลปกติ โดยหน่วยงานกำกับดูแลดังกล่าวจะเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลธุรกิจทุกประเภทใน Financial Hub ซึ่งผู้กำกับดูแลจะต้องเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์ครอบคลุมในหลากหลายด้าน อาทิ สถาบันการเงิน หลักทรัพย์ และประกัน
สำหรับ Financial Hub ของไทย จะมีผู้กำกับดูแลต่างหากแยกออกจากผู้กำกับดูแลระบบการเงินหลักเช่นกัน โดยธุรกิจใน Financial Hub จะถูกกำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One-Stop Authority: สำนักงาน OSA)
โดย…ความท้าทายที่สำคัญอย่างหนึ่งในการกำกับดูแล คือ การมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งในแง่ของการเป็นผู้กำกับดูแล และความเข้าใจธุรกิจต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง รวมทั้งต้องมีประสบการณ์ตรงในหลายด้าน
เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจที่เข้ามาใน Financial Hub มีด้วยกันกว่า 7 ประเภท และมีแนวโน้มที่จะทำธุรกรรมที่ซับซ้อน หลากหลาย เปิดรับความเสี่ยงได้มากขึ้น รวมถึงอาจเป็นธุรกรรมที่ไม่เคยมีในไทย ขณะที่สำนักงาน OSA มีแนวโน้มจะเป็นองค์กรขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหน่วยงานกำกับในปัจจุบันทั้ง ธปท. ก.ล.ต. คปภ. จึงเป็นความท้าทายของ OSA ที่จะต้องรู้เท่าทันผู้ประกอบธุรกิจ เตรียมพร้อมรองรับเทคโนโลยีและภัยทางการเงินใหม่ ให้สามารถกำกับดูแลธุรกิจใน Financial Hub ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อทั้งตัวผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub เอง และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประเทศโดยรวม
นอกจากในเรื่องของบุคลากรแล้ว ยังมีความท้าทายอีกประการหนึ่งในช่วงเริ่มจัดตั้ง Financial Hub ที่จำเป็นต้องมีการออกกฎหมายลูก และหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลธุรกิจแต่ละประเภท รวมทั้งงานด้านโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร เช่น การวางระบบติดตามและเก็บรักษาข้อมูลเพื่อการกำกับดูแลตรวจสอบ เพื่อให้มีความพร้อมในการกำกับดูแลได้ทันทีเมื่อมีการให้ใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub
ความท้าทายสุดท้าย แต่มีความสำคัญไม่ท้ายสุดคือ บทบาทของผู้กำกับดูแลหลัก และ OSA ในภาวะที่ประเทศเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงิน ซึ่งในร่าง พ.ร.บ. ฉบับปัจจุบัน ผู้กำกับดูแลหลักสามารถให้ข้อเสนอแนะกับ OSA ได้ แต่ไม่มีอำนาจในการสั่งธุรกิจโดยตรง ในกรณีที่ OSA ซึ่งมีบทบาทในแง่การส่งเสริมสนับสนุนการทำธุรกิจร่วมกับกำกับดูแล มีความเห็นไม่สอดคล้องกับผู้กำกับดูแลหลักที่ต้องการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวด อาจทำให้การแก้ปัญหาในเหตุการณ์วิกฤตเป็นไปอย่างขาดประสิทธิภาพ ดังนั้น ในยามวิกฤติ จึงควรให้หน่วยงานกำกับดูแลหลักซึ่งดูแลความเสี่ยงองค์รวมของประเทศ มีกลไกในการออกเกณฑ์หรือคำสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจทั้งในและนอก Financial Hub ต้องปฏิบัติตามได้เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ
ความเสี่ยงที่สำคัญ
ความเสี่ยงสำคัญที่สุดของการจัดตั้ง Financial Hub คือ ความเสี่ยงที่ Financial Hub จะถูกใช้เป็นแหล่งสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ถูกกฎหมาย Financial Hub หลายแห่งมีภาพลักษณ์ในการเป็นแหล่งสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ถูกกฎหมาย โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Financial Hub มักตกเป็นช่องทางในการฟอกเงิน หรือทำธุรกรรมผิดกฎหมายอื่น มีหลายประการ เช่น การหมุนเวียนเงินทุนระหว่างประเทศอย่างเสรี ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ รวมไปถึงการมีกลไกกำกับดูแลที่ผ่อนคลาย จนถึงบางกรณีที่ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาต เช่น ในหมู่เกาะเคย์แมน ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยเฉพาะ hedge fund ที่อยู่ภายใต้ Securities Investment Business Law (SIBL) มีผู้ประกอบการมากกว่า 1 พันราย (registered persons) ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาตในการให้บริการแก่นักลงทุนบางประเภท เช่น high net worth ซึ่งเป็นช่องโหว่สำคัญที่จะเกิดการฟอกเงิน
อีกปัจจัยหนึ่งคือ การอนุญาตให้จัดตั้งบริษัทโดยไม่ต้องเปิดเผยเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง (beneficial owner) ผ่านการใช้บริษัท nominee ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นไปได้ยาก เช่น กองทุนรวมที่จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมนที่มีมากกว่า 1 หมื่นกองทุน บางส่วนไม่สามารถระบุเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริงได้ รวมไปถึงการอนุญาตให้จัดตั้งบริษัทโดยไม่ต้องมีสำนักงานหรือพนักงานประจำในพื้นที่ (lack of physical presence) เช่น ในกรณีของหมู่เกาะเคย์แมน กว่า 80% ของบริษัทที่จดทะเบียนได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องมีที่ตั้งสำนักงาน หรือเรียกว่า “Exempt company” ซึ่งอาจมีเพียงที่อยู่เพื่อจัดส่งเอกสาร รวมถึงจัดตั้งได้โดยมีผู้ถือหุ้นและกรรมการเพียง 1 รายเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจนอกหมู่เกาะเป็นหลัก ทำให้การติดตามตรวจสอบการทำธุรกรรมเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ ยังมีหลายเหตุการณ์ในต่างประเทศที่ Financial Hub ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินของนักการเมือง อาทิ กรณีกองทุน 1Malaysia Development Berhad (1MDB) ของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่กลับถูกใช้เป็นช่องทางยักยอกเงินกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย Najib Razak นักการเงิน Jho Low และกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดใช้โครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อนและจัดตั้งบริษัทใน offshore financial centers เช่น หมู่เกาะ British Virgin และ Seychelles ซึ่งเป็นสถานที่มีกฎระเบียบผ่อนคลายกว่า เพื่อทำธุรกรรมผ่องถ่ายเงินจากกองทุน 1MDB ไปซื้อสินทรัพย์หรูในต่างประเทศ ซึ่งที่สุดแล้วในปี 2020 นายกฯ Najib ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี และหลายประเทศได้ยึดทรัพย์สินคืนให้รัฐบาลมาเลเซียกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านสิงคโปร์ซึ่งมีศูนย์กลางการเงินชั้นนำระดับภูมิภาคและระดับโลกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมานานหลายสิบปี ก็ประสบกับกระแสเงินผิดกฎหมาย แม้จะมีความพยายามในการควบคุมการฟอกเงินและมีการกำกับดูแลเข้มงวด แต่สิงคโปร์ก็ยังคงเผชิญกับผลกระทบจากอาชญากรรมข้ามชาติที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี 2566 ทางการสิงคโปร์ได้ตรวจสอบพบการสมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ผ่านธุรกิจหลากหลายประเภท รวมถึงแพลตฟอร์มการพนันและเกมออนไลน์ การดำเนินการดังกล่าวมีลักษณะเด่นคือวิธีการที่ซับซ้อน โดยใช้บริษัทบังหน้าและธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนเพื่อปกปิดแหล่งที่มาของเงิน และมีการฟอกเงินกำไรบางส่วนไปที่สิงคโปร์โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นหลัก
นับเป็นคดีฟอกเงินใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกธุรกิจในประเทศ ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ถูกยึด และบุคคล 10 คนจากฝูเจี้ยน ประเทศจีน (หรือที่เรียกว่า “แก๊งฝูเจี้ยน”) ถูกจับกุม ตั้งข้อหา และตัดสินลงโทษ นอกจากนี้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับโลก และสถายันการเงินของสิงคโปร์ถูก MAS สั่งปรับเงินจำนวนมาก
คดีดังของศูนย์กลางการเงินอย่างสิงคโปร์นี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ศูนย์กลางการเงินอื่นๆเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติงาน การบริหารความเสี่ยง และมาตรการการปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในอุตสาหกรรมเพื่อไม่ให้ศูนย์กลางการเงินเผชิญกับความเสี่ยงจากกระแสเงินทุนที่ผิดกฎหมายมากขึ้น อันเนื่องจากการเชื่อมโยงทางการค้า การลงทุน และการเงินที่เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ อีกทั้งปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งมีสภาพคล่องสูงที่สุดในตลาดการเงินระดับภูมิภาค สามารถจัดการเงินจำนวนมหาศาลได้
สิงคโปร์กระชับแนวปฏิบัติป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และ 1 กรกฎาคม 2568 ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore MAS) ได้เผยแพร่ประกาศฉบับปรับปรุงเกี่ยวกับการป้องกัน/ปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) และแนวปฏิบัติ สำหรับสถาบันการเงิน (FIs) และ Variable Capital Companies (VCC หรือโครงสร้างนิติบุคคลใหม่สำหรับกองทุนลงทุนที่จัดตั้งขึ้นในสิงคโปร์ ภายใต้กฎหมาย Variable Capital Companies Act) ประกาศและแนวปฏิบัติฉบับปรับปรุงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ประกาศและแนวปฏิบัติที่ปรับแก้ไขนี้มีผลบังคับใช้ในภาคการเงิน ซึ่งรวมถึงธนาคาร ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน ผู้ให้บริการด้านการชำระเงิน บริษัทประกันชีวิตโดยตรงและบริษัทประกันภัยอื่นๆ ตัวกลางในตลาดทุน ที่ปรึกษาทางการเงิน ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์กลาง ตลาดแลกเปลี่ยนที่ได้รับอนุมัติและผู้ดำเนินการตลาดที่ได้รับการรับรอง ผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ได้รับอนุมัติ บริษัททรัสต์ ผู้รับใบอนุญาตบัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่ไม่ใช่ธนาคาร และผู้ให้บริการโทเค็นดิจิทัล รวมถึง VCCs ด้วย
การปรับปรุงแนวปฏิบัติมีขึ้นจากการที่ MAS ทบทวนกรอบการต่อต้านการฟอกเงิน/การก่อการร้าย (AML/CFT) อย่างสม่ำเสมอ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าการกำกับดูแลสถาบันการเงินและ VCC ของ MAS ได้คำนึงถึงพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับการฟอกเงิน (ML) การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Terrorism Financing:TF) และการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธ(PF) รวมถึงคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF) และมาตรฐานสากล
MAS ได้เปิดรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างการปรับเปลี่ยนดังกล่าวในเอกสารรับฟังความเห็นที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 และเผยแพร่คำตอบรับที่ได้รับ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568
การประเมินความเสี่ยงการฟอกเงินต้องรวมการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธ
มาตรฐาน FATF กำหนดให้สถาบันการเงินและธุรกิจและวิชาชีพที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่กำหนดต้องระบุ ประเมิน ทำความเข้าใจ และลดความเสี่ยงจากการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธของตนเอง
MAS จึงได้แก้ไขประกาศเพื่อให้ทันการณ์และสอดคล้องกับมาตรฐาน FATF ที่ปรับปรุงใหม่ โดยและมีความขัดเจนว่าการฟอกเงินนั้นครอบคลุมถึงการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธ ดังนั้นความเสี่ยงจากการฟอกเงิน จึงรวมถึงความเสี่ยงจากการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธด้วย โดยกำหนดให้สถาบันการเงินและ VCC ต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยง ML/TF รวมถึงการประเมินความเสี่ยง PF ด้วย
MAS ยังระบุว่า แม้ข้อกำหนดนี้เป็นการแก้ไขประกาศเพิ่มเติม แต่ในสาระสำคัญแล้ว ข้อกำหนดนี้ไม่ควรเป็นสิ่งใหม่หรือสิ่งที่สถาบันการเงินและ VCC ไม่คุ้นเคย
MAS ระบุว่าการประเมินความเสี่ยง PF สามารถดำเนินการแบบแยกส่วนหรือเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินความเสี่ยง ML/TF ที่สถาบันการเงินและ VCC กำลังดำเนินการอยู่แล้ว และควรดำเนินการประเมินความเสี่ยง PF โดยเร็วที่สุดหากยังไม่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว
การแก้ไขแนวปฏิบัติเพื่อชี้แจงกำหนดเวลาสำหรับรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย
นอกจากนี้ภายใต้ประกาศดังกล่าว สถาบันการเงินและ VCC ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ยื่นรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย(Suspicious Transaction Reporting :STR) ต่อสำนักงานตรวจสอบรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย(Suspicious Transaction Reporting Office ) โดยทันที
MAS ได้ชี้แจงไว้ในแนวปฏิบัติว่า การยื่น STR ไม่ควรเกิน 5 วันทำการหลังจากพบเหตุอันควรครั้งแรก เว้นแต่สถานการณ์จะเป็นกรณีพิเศษ ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายที่ถูกคว่ำบาตรและฝ่ายที่ดำเนินการในนามของหรือภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายที่ถูกคว่ำบาตร สถาบันการเงินและ VCC ควรยื่น STR โดยเร็วที่สุด และไม่เกิน 1 วันทำการหลังจากพบเหตุอันน่าสงสัยครั้งแรก
MAS ยังได้กำหนดไว้ในแนวปฏิบัตินี้ว่าสถาบันการเงินและ VCC ต้องดำเนินการให้มั่นใจว่ามีกระบวนการต่างๆ ดังต่อไปนี้:
ระบุและจัดลำดับความสำคัญของการทบทวนข้อกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง ML/TF ที่สูงขึ้น
ดูแลให้แน่ใจว่าข้อกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง ML/TF ที่สูงขึ้นได้รับการประเมินโดยทันที และ
กำหนดให้ข้อกังวลใดๆ เกี่ยวกับความเสี่ยง ML/TF ที่สูงขึ้นที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ทันที ต้องส่งต่อไปยังผู้บริหารระดับสูงหรือหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อนำมาตรการบรรเทาความเสี่ยง ML/TF ที่เหมาะสมมาใช้
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่การจัดตั้ง Financial Hub ในประเทศไทยจะกลายเป็นแหล่งสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย การประกอบธุรกิจใน Financial Hub จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดรัดกุม แม้ว่าในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะไม่ได้มีการยกเว้นกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินไว้ แต่การกำกับดูแลในทางปฏิบัติยังมีความท้าทายสูง ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงิน การกำกับดูแลความเสี่ยงด้าน AML/CFT จึงต้องเข้มงวดไม่ต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น FATF Standards รวมถึงต้องมีกลไกการบังคับใช้ที่ชัดเจนและรัดกุมเพียงพอ
การจัดตั้ง Financial Hub ของไทยมีขึ้นหลังประเทศอื่น ซึ่งต้องเผชิญกับการแข่งขันกับศูนย์กลางการเงินอื่นๆ แต่ก็ไม่จำเป็นที่หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินไทยจะต้องลดผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเพื่อดึงดูดสถาบันการเงิน เพราะสถาบันการเงินที่มุ่งจะเข้ามาให้บริการใน Financial Hub ของประเทศแม้มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด ย่อมแสดงว่า Financial Hub ของไทยมีความน่าดึงดูดใจในมิติอื่นๆ
หากการกำกับดูแลหละหลวมและระบบกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ จะทำให้การจัดตั้ง Financial Hub ของไทยกลายเป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์และใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน หรือทำธุรกรรมผิดกฎหมายของกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ ค้ามนุษย์ พนันออนไลน์ ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือและสร้างความเสียหายต่อประเทศในระยะยาว อีกทั้งมีความเสี่ยงที่ไทยอาจถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม grey List หรือ black list ของ FATF ส่งผลให้สถาบันการเงินทั่วโลกไม่ทำธุรกรรมด้วยหรืออาจมีขั้นตอนการตรวจสอบธุรกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศมีความยุ่งยากและล่าช้า กระทบต่อสถาบันการเงินและผู้บริโภคทั้งประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครไม่อยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
2.Hasty deadlines and upset board: Behind 1MDB’s US$1b zero-return investment | Malay Mail
3.1MDB continued giving Jho Low’s firm Good Star money after US$1b zero return deal | Malay Mail
4.Dubai financial authority warns of $6.5 mln scam
7.DFSA fines ABN AMRO for Anti-Money Laundering Deficiencies | DFSA
8.Types of Companies in the Cayman Islands: A Guide to Choose Right
9.10 individuals for suspected involvement in offences including forgery and/or money laundering
10.The BVI – resilient and rebuilding – World Commerce Review
11.Who doesn’t know the Cayman Islands is a great… – Transparency.org
14.Singapore’s battle against illicit financial flows
15.Heavier anti-money laundering penalties could help Singapore maintain high standards as wealth hub