อุตฯอาหาร ลดสต๊อกคุมต้นทุน พิษภาษีทรัมป์ ฉุดคู่ค้าต่อรองหั่นราคา
สัมภาษณ์
การส่งออกสินค้าไทยไปในตลาดสหรัฐกำลังเป็นที่จับตามองว่า การเจรจาต่อรองอัตราภาษีของทีมไทยแลนด์ จะได้คำตอบอย่างไร
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกรรมการ บริษัท มหาบูรพาผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย (Thai Future Food Trade Association) ถึงแนวโน้มและสัญญาณการค้าการส่งออกสินค้าไทยไปในตลาดสหรัฐ และการตั้งรับภายใต้ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น
คาดหวังต่อรองทรัมป์สำเร็จ
ผมในฐานะนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตได้ให้ข้อมูลด้านการเจรจากับทีมไทยแลนด์ เพราะมองว่าการให้ข้อมูลเต็มที่เพื่อเป็นแนวทางอัตราภาษี ที่ทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ เพราะไม่อยากให้ถึงขั้นว่าไทยจะต้องดูแลเยียวยาผู้ประกอบการและผู้ส่งออกภายในประเทศ และคาดหวังว่าการเจรจาของทีมไทยแลนด์จะสามารถทำให้อัตราภาษีสินค้าไทยลดต่ำลงจากระดับ 36%
“เราไม่ได้คาดหวังว่าอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับอยู่ที่ในอัตรา 0% หรือ 10% แต่ขอให้อยู่ในระดับอัตราภาษีที่ไทยแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยเฉพาะในสินค้าที่เหมือนกัน เพราะหากจะปรับตัวทันทีอาจจะเป็นเรื่องยาก”
ก.ค.คู่ค้าเริ่มชะลอคำสั่งซื้อ
ผมในฐานะที่ทำตลาดส่งออกเหมือนกัน บริษัททำการส่งออกสินค้าไปในตลาดสหรัฐไม่เกิน 10% ของการส่งออกทั้งหมด โดยไม่ว่าประเทศไทยจะถูกเก็บอัตราภาษีเท่าไร มองว่าบริษัทยังสามารถที่จะปรับตัวและขยับหาตลาดส่งออกเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐได้อยู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายที่จะหาตลาดอื่นได้ในทันที เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกเองก็ได้รับผลกระทบ และประเทศผู้นำเข้าเองก็ต้องมีการพิจารณามากขึ้น เพราะกังวลเศรษฐกิจจะมีภาวะถดถอยหรือไม่ แต่ผมยังเชื่อมั่นว่ายังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ไม่ถึงขั้นต้องปิดกิจการ
ทั้งนี้ ยอดการส่งออกสินค้าในตลาดสหรัฐ หากหาตลาดอื่นเข้ามาทดแทนคงจะทำทันทีไม่ได้ ส่วนคู่แข่งของเรานั้นมีทั้งเวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เป็นต้น และหากมาเปรียบเทียบอัตราภาษีเพื่อการแข่งขันในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบชัดเจน คือ คู่ค้ามีการชะลอเนื่องจากมีข้อกังวลว่าอัตราภาษีไทยจะได้รับในอัตราภาษีเท่าไหร่ หากจะดูว่าเราจะแข่งขันได้หรือไม่ คงต้องรอดูวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถึงจะชี้ชัดได้ว่าการค้า การส่งออกของเราจากนี้จะเป็นยังไง
“เราส่งสินค้าไปตลาดสหรัฐที่ประมาณ 10% ในช่วงต้นปี 2568 ผู้นำเข้าได้มีการนำเข้าสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มชะลอในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คาดว่าน่าจะไปถึงปลายปีนี้ โดยคู่ค้ายังรอประเมินสถานการณ์อัตราภาษีที่ไทยจะได้ ในทางกลับกันผู้นำเข้าก็จะต้องกดดันผู้ส่งออก โดยเจรจาหากจำเป็นจะต้องรักษาตลาดนี้ ก็ต้องช่วยเราด้วย”
แต่ทั้งนี้ ระหว่างที่เจรจาการซื้อขาย ผู้นำเข้าเองก็ย่อมต้องมองดูหาตลาดอื่นที่มีการผลิตสินค้าเหมือนไทย และก็มีโอกาสที่จะทำให้ผู้นำเข้าหันไปสั่งซื้อกับประเทศนั้น ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลพอสมควร โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็มีสูง แต่อนาคตอาจจะต้องติดตามผลกระทบ เพราะเมื่อซัพพลายเชนไปไหนไม่ได้ โอกาสที่จะส่งกลับมาในตลาดหรือภูมิภาคนี้ก็สูง อย่างเช่น ประเทศที่ไม่สามารถส่งออกไปในตลาดสหรัฐได้ โอกาสที่สินค้าจะไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยมีสูงขึ้น ก็เหมือนที่สินค้าไทยไม่สามารถส่งออกไปได้ ก็มีโอกาสที่จะไปในตลาดอื่น เช่นเดียวกับที่หลายประเทศดำเนินการ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบนี้ก็เหมือนเราได้รับผลกระทบทางอ้อม
เน้นบริหารสต๊อก-หาตลาดใหม่
ส่วนการส่งออกไปในตลาดอื่น ๆ ของเราเอง ก็ต้องยอมรับว่ามีการชะลอตัวพอสมควร โดยภาพรวมตลาดไม่ค่อยคึกคัก ดังนั้น บริษัทจึงต้องมีการวางแผน โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการสต๊อกสินค้า รวมไปถึงกำลังการผลิต ซึ่งอาจจะใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่มาก แต่ใช้ให้เพียงพอประมาณตามกำลังซื้อที่เข้ามาเพื่อไม่สร้างภาระให้กับบริษัท เพราะการดำเนินต่าง ๆ ล้วนมีผลต่องบการเงิน หากมีการนำมาใช้จ่ายเงินก็อาจจะจมไปในกับการผลิตสินค้าและสต๊อกที่เกิดขึ้น
“การจัดการครั้งนี้ เชื่อว่าหลายบริษัทอาจจะต้องมาดูและพิจารณาจัดการตัวเองมากขึ้น เพราะการจะมุ่งหาตลาดทดแทน ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถดำเนินการและได้ผลตอบกลับมาเป็นตัวเลขการส่งออกได้ในทันที แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องทำอยู่ เพื่อสร้างความมั่นคงของตลาดในอนาคต เพราะยังเห็นความไม่แน่นอนในตลาดสหรัฐในระยะต่อจากนี้”
ขณะที่การบริหารจัดการดูแลบริษัทในระยะยาวก็อาจจะต้องมาดูในเรื่องของการยกระดับการผลิตโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ด้วย แต่ก็ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากการนำลงทุนเทคโนโลยีหรือเครื่องจักร ในสถานการณ์ปัจจุบันจำเป็นจะต้องพิจารณาของการคืนทุน ซึ่งก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะความไม่แน่นอนของตลาดมีผลต่อปัจจัยการพิจารณาและวางแผนอยู่
รวมไปถึงการพิจารณารับซื้อวัตถุดิบสินค้าเพื่อผลิตเพื่อการส่งออกด้วย โดยพยายามดูแลในทุกด้านเพื่อควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุด ส่วนการส่งออกสินค้าไปในตลาดอื่น ๆ นั้น แม้ชะลอแต่ก็ยังเป็นไปในทิศทางที่ดี อย่างเช่น ในกลุ่มตลาดอาเซียน เอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ การส่งออกก็ยังทำได้
ผู้นำเข้าต่อรองขอลดราคา
สัญญาณของผู้นำเข้า โดยตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นของบริษัทเองและภาพรวมของการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ จะเห็นว่าผู้นำเข้าเริ่มมีการเจรจาต่อรองในการนำเข้าสินค้ามากขึ้น โดยเงื่อนไขที่จะมีการเจรจาส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของการลดราคาสินค้า เพื่อให้ยังสามารถนำเข้าสินค้าและไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคได้ หรือแม้กระทั่งอัตราภาษีที่คาดว่าไทยจะได้รับ หากสินค้ามาถึงสหรัฐเอง ผู้นำเข้ามองว่าสามารถช่วยแชร์อัตราภาษีที่ได้รับหรือไม่ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอัตราภาษีเต็มที่ได้รับ ซึ่งก็มีการเจรจามาสักระยะ เพื่อให้ยังสามารถเดินหน้าธุรกิจไปต่อได้
โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่จะต้องนำสินค้าลงเรือเพราะการส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐใช้ระยะเวลาในการขนส่งราว 45 วัน ซึ่งขึ้นอยู่กับท่าเรือสินค้าที่ไทยจะส่งไปด้วย และเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า หากบริษัทรายใดไม่มีการพูดคุยหรือเจรจาในเงื่อนไขต่าง ๆ มีโอกาสว่าผู้นำเข้าจะมีการนำเข้าสินค้าจากคู่แข่งอยู่
“จะมองได้ว่าภาพรวมของการส่งออกสินค้าไทยไปในตลาดสหรัฐ หากดูสถานการณ์จริงแล้วเริ่มมีการชะลอตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา โดยผู้นำเข้าเร่งนำเข้ามาพอสมควร มีสต๊อกสินค้าพอที่จะจำหน่ายจนถึงปลายปีนี้ ดังนั้นในช่วงระยะเวลานี้ จึงทำให้ผู้นำเข้ามีการชะลอเพื่อรอดูสถานการณ์อัตราภาษีด้วย ภาพรวมของการส่งออกสินค้าโอกาสที่จะขยายตัวเป็นบวกจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก”
โอดค่าเงินบาทไม่เอื้อผู้ส่งออก
ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยภายนอกที่เหนือการควบคุมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การส่งออกของไทยแล้ว ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบคือ เรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ที่ไม่ได้ส่งผลดีหรือเอื้อประโยชน์ต่อการแข่งขัน หรือสอดคล้องกับความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทย และยังมีเรื่องของปัจจัยต้นทุนการผลิตที่ยังคงมีผลกระทบ ค่าแรงขั้นต่ำ ที่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนและจัดการได้ยาก นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของค่าขนส่งเองก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วย
อย่างไรก็ดี ส่งออกสินค้าอาหารโดยเฉพาะสินค้าอนาคตในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ยังเห็นว่าการจะออกสินค้าใหม่ อาจจำเป็นจะต้องมีการพิจารณาและดูจังหวะการทำตลาดให้เหมาะสม และมองว่าในช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่เหมาะสมในการทำตลาดหรือออกสินค้าใหม่ ควรจะรอดูเพื่อให้แน่ใจถึงสถานการณ์ตลาด ปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวมและช่วงจังหวะที่ดีที่เหมาะ
ส่วนการส่งออกนั้นในสินค้ากลุ่มนี้ยังคงมีการเติบโต แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ก็ยังเชื่อว่ายังคงรักษาการส่งออกได้อยู่ และตลาดส่งออกสำคัญยังเป็นสหรัฐ จีน ยุโรป อาเซียน เป็นต้น และสินค้าขายดียังคงเป็นกลุ่มเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อุตฯอาหาร ลดสต๊อกคุมต้นทุน พิษภาษีทรัมป์ ฉุดคู่ค้าต่อรองหั่นราคา
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net