โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ความกำแหงของ ‘ฮุนเซน’

แนวหน้า

เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ฮุนเซน เป็น “จักรพรรดิแห่งกัมพูชา” ไม่ว่าจะด้วยอำนาจเงิน ปืน และกำลังคน เขาจึงควบคุมทุกองคาพยพของราชอาณาจักรกัมพูชาไว้ในมือ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไม่มีใครกล้าหือกล้าอือ หรือลุกขึ้นมาต่อกรกับเขา

สภาพการณ์ดังกล่าว ทำให้เขาไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ทำตัวใหญ่คับโลก ลำพอง และกำแหง

ยิ่งกับประเทศไทยในยุคนี้ด้วยแล้ว ฮุนเซน เหมือนมั่นใจใน “ไพ่ที่เหนือกว่า” ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่า ฮุนเซน ถือไพ่อะไรไว้ในมือ จึงทำให้ผู้นำยุคนี้ ที่มาจาก “ตระกูลชินวัตร” จึงดูหงอ อ่อนข้อ และไม่สู้ ไม่ชกให้สมศักดิ์ศรี เวลานี้ประเทศไทยจึงดูกระจอก และฮุนเซน ก็แสดงออกถึงความไม่ยำเกรงต่อประเทศไทยตลอดเวลา

1) ล่าสุด หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีมติถอนปริญญาของเขา ฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้ทันทีว่า

“ผมทิ้งมันไปนานแล้ว มันไม่มีคุณค่าใดๆ ที่ผมจะต้องเก็บไว้! วันนี้ผมเห็นว่าสถาบันไทยอีกแห่งหนึ่งประกาศเพิกถอนปริญญาของผม ขอย้ำว่าปริญญาที่มหาวิทยาลัยไทยทั้ง 3 แห่งมอบให้ ตั้งแต่ปี 2001, 2006 และ 2019 ผมได้ทิ้งไปนานแล้ว และมันไม่มีคุณค่าใดๆ สำหรับผมเลย”

ฮุนเซน ระบุว่า เขาไม่เคยภาคภูมิใจกับ “กระดาษแผ่นเดียว” จากสถาบันไทย ความรู้และสติปัญญาของเขาไม่ได้เกิดจากปริญญาหรือโรงเรียนไทย แต่เป็นประชาชนและโรงเรียนกัมพูชาที่อบรมสั่งสอนมา

อดีตนายกฯ กัมพูชายังเทียบเส้นทางชีวิตการเมืองกับช่วงเวลาที่ได้รับปริญญา โดยชี้ว่าเขาไม่เคยร้องขอ แต่ไทยต่างหากที่เป็นฝ่ายยื่นเสนอมา พร้อมประเมินคุณค่าในตัวเขา

“ถ้าพิจารณาเวลา ปริญญาของคุณไม่เคยช่วยอะไรผมเลย เพราะกว่าคุณจะมอบให้ ความสำเร็จของผมก็เกิดขึ้นแล้ว”

เขากล่าวถึงหลักหมุดสำคัญในชีวิตการเมืองว่า ปี 1979 อายุ 27 ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศ ปี 1981 อายุ 29 ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีต่างประเทศ และปี 1985 อายุเพียง 32 ก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

พร้อมกันนี้ ฮุนเซน ยังเหน็บว่า มหาวิทยาลัยไทยควรจะ “อับอาย” หากย้อนกลับไปพิจารณาการประเมินคุณค่าที่เคยมอบให้ พร้อมประกาศว่าจะสั่งการให้สำนักงานเผยแพร่เอกสารการประเมินคุณค่าที่ไทยเคยมอบไว้ เพื่อเตือนความจำว่าอดีตไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

“อย่าลืมว่าคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายมาขอให้ผมรับปริญญา ไม่ใช่ผมร้องขอ และการจะรับหรือไม่รับขึ้นอยู่กับผม ผมไม่ใช่คนที่จะรับทุกสิ่งโดยไม่ไตร่ตรอง”

2) ก่อนหน้านี้ จากกรณีสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงมีมติเพิกถอนปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของ ฮุนเซน เขาก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทันทีว่า

“เป็นเรื่องน่าขำ วันนี้ผมได้ยินว่ามหาวิทยาลัยไทยที่ผมจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ ลงมติเพิกถอนปริญญาของผม

“ผมขอยืนยันว่าคุณไม่จำเป็นต้องเพิกถอนปริญญาของผม เพราะผมโยนมันลงชักโครกไปเมื่อปี 2551 ตอนที่ไทยบุกปราสาทพระวิหาร ปริญญาของคุณไม่มีค่าสำหรับผมที่จะเก็บไว้”

“ผมไม่ภูมิใจในใบปริญญาของคุณเลย สมองของฮุนเซนไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยของคุณ สมองของฮุนเซนมาจากคำสอนของชาวเขมรและโรงเรียนของกัมพูชา” นายฮุนเซน ระบุ

3) ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยาและพฤติกรรมอาชญากร อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล วิเคราะห์บุคลิกภาพของ ฮุนเซน ผ่านเฟซบุ๊ก Aj. Trynh Phoraksa ระบุว่า

บุคลิกภาพโดยรวมของฮุนเซน

(1) คาแรกเตอร์ของผู้นำแบบอำนาจนิยม (Authoritarian Leader)

เด่นชัดเรื่องการ “ควบคุมอำนาจแบบรวมศูนย์”

เชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ยอมให้มี “ฝ่ายค้านที่แข็งแรง”

ชอบใช้กำลัง (ทั้งทางทหารและกฎหมาย) เป็นเครื่องมือควบคุมความสงบเรียบร้อย

(2) บุคลิกแบบ Assertive และ Dominant

ท่าทางการพูดที่เด็ดขาด กล้ามเนื้อใบหน้าคงที่มักใช้นิ้วชี้ ขยับมือแบบกดจังหวะ

โทนเสียงหนักแน่นและเร็ว แสดงถึงความไม่เปิดพื้นที่ให้โต้แย้งมากนัก

การปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะมีความสงบ มั่นคง ไม่หวั่นไหว

(3) ภายนอกดูสุขุม แต่ภายในอาจมีความกังวลต่อการสูญเสียอำนาจ

วิเคราะห์ว่ามีลักษณะของ “power-dependent personality” (บุคลิกที่ยึดติดกับอำนาจ)

มีความพยายามชัดเจนในการจัดสืบทอดอำนาจให้ลูกชาย (ฮุน มาแนต)

พฤติกรรมและวิธีบริหาร

(1) การใช้กำลังและควบคุมสื่อ

ปิดกั้นสื่ออิสระ จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

มีประวัติการจับกุมนักข่าว นักเคลื่อนไหว และฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

(2) การวางตัวต่อประชาชน

ภายนอกพยายามใช้ภาษาพูดที่ติดดิน เพื่อเข้าถึงชาวบ้าน (เช่น การใช้คำพูดตรงๆ หรืออารมณ์ขัน)

แต่การตัดสินใจมักมาจาก “บนลงล่าง” ไม่มีช่องว่างให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

(3) บริบททางครอบครัวและลูกชาย

พยายามวางแผนสืบทอดอำนาจอย่างเป็นระบบ จนทำให้เขาดูมีบุคลิกแบบ “ปิตาธิปไตย” (paternalistic style) รักษาอำนาจผ่านโครงสร้างครอบครัวและเครือข่ายอำนาจ

4) ฮุนเซน จะมีบุคลิกภาพส่วนตัวอย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่คนไทยเคลือบแคลงก็คือ ท่าทีของรัฐบาลไทย ที่ดูเหมือนทั้งยอมและสมยอมให้ ฮุนเซน กระทำการสารพัด

ทั้งละเมิดการหยุดยิง, วางทุ่นระเบิด, ปล่อยข่าวปลอม ฯลฯ โดยที่พฤติกรรมเกือบทั้งหมด ล้วนผิดกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งสิ้น แต่รัฐบาลไทยไม่ขมีขมันที่จะเดินหน้าเอาผิด ทั้งไม่ทำลายช่องทางรับผลประโยชน์ของ ฮุนเซน ทั้งบ่อนการพนัน การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ ฯลฯ โดยเฉพาะการไม่เอาจริงเอาจังที่จะนำตัว ฮุนเซน ขึ้นสู่ “ศาลอาญาระหว่างประเทศ”

5) พรรคประชาชนออกแถลงการณ์ในหัวข้อ“ข้อเสนอพรรคประชาชนต่อรัฐบาลไทย นำ ฮุนเซน ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศฐานอาชญากรรมสงคราม”

จากสถานการณ์การปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เปิดฉากยิงโดยกองทัพกัมพูชา และมีการโจมตีไม่เลือกหน้าด้วยอาวุธยิงพิสัยไกลต่อเป้าหมายพลเรือน ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ บ้านเรือน จนทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ศพ รวมถึงเด็กและผู้สูงอายุ และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 29 คน

ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังได้โพสต์ในโซเชียลมีเดียส่วนตัว ยืนยันว่าตนเป็นผู้บัญชาการโจมตีอันส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ชาวไทยด้วยตัวเอง

พรรคประชาชนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของฮุนเซน เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม การโจมตีพลเรือนโดยเจตนา ถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างชัดแจ้งในกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งธรรมนูญกรุงโรมแห่งศาลอาญาระหว่างประเทศ มาตรา 8(2)(b)(i) และอนุสัญญาเจนีวา ตามมาตรา 147 ซึ่งนำไปสู่หลักเขตอำนาจศาลสากล (Universal Jurisdiction) ที่อนุญาตให้ทุกรัฐสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้

พรรคประชาชนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อเอาผิด ฮุนเซน และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

แม้ประเทศไทยจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม แต่กัมพูชาเป็นรัฐภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2002 ศาลจึงมีเขตอำนาจเหนือคดีได้โดยตรง หากผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชา

รัฐบาลไทยจึงมี 2 ทางเลือกที่สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ คือ

1. ยื่นเรื่องต่อสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 15 เพื่อร้องขอให้เริ่มกระบวนการตรวจสอบเบื้องต้น (Preliminary Examination)

2. ประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลเฉพาะกรณีในฐานะรัฐเจ้าของดินแดนที่เกิดเหตุอาชญากรรมสงครามซึ่งวิธีนี้จะเป็นการแสดงออกทางการเมืองที่เข้มแข็งชัดเจนต่อกัมพูชา ว่าไทยพร้อมปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ โดยใช้กลไกระหว่างประเทศ

พรรคประชาชนยืนยันว่าการดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ถือเป็นการใช้สิทธิ์ของรัฐผู้ถูกรุกราน ปกป้องสิทธิเสรีภาพของคนไทยโดยใช้กลไกระหว่างประเทศอย่างผู้มีอารยะ โดยหวังว่ากลไกดังกล่าวจะหยุดยั้งผู้นำกัมพูชาจากการโจมตีพลเรือนไทย และนำกัมพูชากลับสู่การเจรจาทวิภาคีเพื่อคืนความปกติสู่ความสัมพันธ์ของสองประเทศในอนาคต

สรุป : จากนี้ไป ให้ช่วยกันติดตามว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าเอาผิด ฮุนเซน อย่างจริงจังแค่ไหน หรือจะสมยอมให้เขารุกรานและเหยียบย่ำเกียรติภูมิของ“ราชอาณาจักรไทย” ต่อไป

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก แนวหน้า

'อนุสรณ์'เชื่อมั่น'นายหญิงอิ๊งค์' ขอทุกฝ่ายอย่ากดดันศาลฯ ตัดสินปมคลิปเสียง 29 ส.ค.นี้

20 ชั่วโมงที่ผ่านมา

พรุ่งนี้ 25 ส.ค. เปิดลงทะเบียน‘ทางรัฐ’ รับสิทธิ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’

20 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

‘ผบ.ทอ.’ เตรียมเซ็นสัญญา ซื้อเครื่องบินขับไล่ ‘กริพเพน’ 25 ส.ค. ที่ประเทศสวีเดน

ไทยโพสต์

“กองทัพ”โต้กลับ “กัมพูชา” พบละเมิดข้อตกลง ใช้ทุ่นระเบิด-บิดเบือนข่าวสาร

สยามรัฐ

ทบ. โต้เดือด กัมพูชา ใช้สงครามจิตวิทยา บิดเบือนข้อเท็จจริง

กรุงเทพธุรกิจ

กกต. ประกาศรายชื่อผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย เขต 7 ‘พท.’ ชน ‘ปชน.’

ไทยโพสต์

ผบ.ทอ.ปลื้ม ผ้าไทยลายแม่ย่านางกริพเพน เผย เซ็นสัญญาซื้อฝูงใหม่ 25 ส.ค.

กรุงเทพธุรกิจ

ทบ. จับไต๋ กัมพูชา ทำทีตกลงแค่เอกสารโชว์นานาชาติ ชี้ตลอด10ปี ยังละเมิดนับ100ครั้ง

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม