สภาพัฒน์ เผยหนี้ครัวเรือน Q1/68 อยู่ที่ 87.4% ของ GDP ลดลงเป็นครั้งแรก อัตราว่างงาน Q2/68 ทรงตัว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมถึงหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 87.4% ของ GDP หดตัว 0.1% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1/68 มีมูลค่า 16.35 ล้านล้านบาท
โดยธนาคารพาณิชย์เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด หรือ มีสัดส่วนสินเชื่อ 37.6% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ Non-Performing Loan : NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.78% ปรับตัวลดลงจาก 8.94% ของไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30-90 วัน (หนี้จัดชั้นกล่าวถึงพิเศษ Special Mention Loan : SMLs) มีสัดส่วนต่อสินเชื่ออยู่ที่ 4.25% เพิ่มขึ้นจาก 4.17% ของไตรมาสที่ผ่านมา
สภาพัฒน์ เผยหนี้ครัวเรือน Q1/68 อยู่ที่ 87.4% ของ GDP ลดลงเป็นครั้งแรก อัตราว่างงาน Q2/68 ทรงตัว
ทั้งนี้ คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนยังคงมีปัญหา ซึ่งประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ คือ เงินกู้นอกระบบอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น และ การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) ซึ่งพบเห็นใน SPayLater หรือ Lazada paylater อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัวได้
นอกจากนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1. เงินกู้นอกระบบอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการขยายตัวของหนี้เสียที่สูงขึ้น ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ลูกหนี้บางส่วนต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งปัจจุบัน แหล่งเงินกู้นอกระบบเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กลายเป็นช่องโหว่ทำให้ลูกหนี้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากอัตราดอกเบี้ยสูง และถูกทวงหนี้ด้วยวิธีผิดกฏหมาย
2. การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) ที่อาจกระต้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว เนื่องจากระบบการให้สินเชื่อBNPL ไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลรายได้หรือภาระหนี้อื่นๆ ของลูกหนี้ และพิจารณาให้สินเชื่อจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านระบบBNPL ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายได้รับวงเงินสินเชื่อสูงเกินระดับรายได้ อีกทั้งยังสามารถนำไปซื้อสินค้าและบริหารอื่นนอกเหนือจากในแฟลตฟอร์ม
"หนี้ครัวเรือน เหมือนระเบิดเวลาตัวหนึ่ง มีแนวโน้มกู้ยืมนอกระบบผ่านแอปพลิเคชั่นที่ไม่ถูกกฏหมาย ซึ่งต้องมีการปราบปรามอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก และแฟลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ มีวงเงินค่อนข้างสูง ไม่ดูภาระของลูกหนี้ หรือไม่ดูเงื่อนไขที่รัดกุม และแฟลตฟอร์มเหล่านี้มีพันธมิตรสาขาอื่น ๆ ทั้งร้านอาหารและสถานีบริการน้ำมันด้วย เป็นปัญหาที่ต้องดูแลอย่างจริงจังพวกเราทุกคนคงเข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าเติมน้ำมัน หรือทานอาหารยังผ่อนกันอยู่ ผมว่าเข้าขั้นวิกฤติแล้ว มันไม่ควรเป็นลักษณะนั้น" นายดนุชา กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ครัวเรือนในไตรมาสแรกลดลงเล็กน้อย แต่ NPL ยังพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อผู้ที่อยู่อาศัย จะมีสัญญาณต่อเศรษฐกิจหรือไม่นั้น นายดนุชา กล่าวว่า เรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวได้ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ที่รายได้ปานกลางหรือรายได้น้อยแล้ว แต่ขยับไปยังกลุ่มอื่น แต่กลุ่มที่อยู่อาศัยทั่วไป ณ ขณะนี้ตัวสินเชื่อหดตัวลง
ทิศทางที่ผ่านมา ก็เห็นตรงกันที่พยายามแก้หนี้ 3 เรื่อง 1.หนี้ที่อยู่อาศัย 2.หนี้รถยนต์และ 3.หนี้ในการประกอบธุรกิจ ถ้าทั้ง 3 ส่วนมีแนวโน้มที่จะแก้ปัญหาได้มากขึ้น ทำให้คนมีความมั่นคงมากขึ้น และมีรายได้มากขึ้น ดังนั้น โครงการรัฐบาลอย่าง "คุณสู้ เราช่วย"คงต้องมีการปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมอีก เพื่อให้คนเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
*สถานการณ์จ้างงาน Q2/68 ทรงตัว อัตราว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ
สถานการณ์แรงงานในไตรมาส 2/68 ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.02% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 2/67) และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1/68 ซึ่งอยู่ที่ 39.4 ล้านคน โดยแบ่งเป็นแรงงานนอกภาคเกษตรกรรม 28.6 ล้านคน ขยายตัว 0.4%ซึ่งขยายตัวมากสุดในสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่ 7.9% รองลงมาเป็นสขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่ 3.1% ขณะที่การจ้างงานในสาขาการผลิต ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย ที่ 0.5% ส่วนแรงงานในภาคเกษตรกรรม 10.9 ล้านคน หดตัว 0.9% โดยลดลงมากในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักและอุทกภัยตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ พบว่าการจ้างงานในไตรมาส 2/68 ทรงตัว โดยภาคเกษตรกรรมลดลงต่อเนื่อง ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยสาขาที่การจ้างงานขยายตัวมากที่สุด คือ สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า และสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร นอกจากนี้ ในภาพรวมของชั่วโมงการทำงานของแรงงาน เฉลี่ยอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยภาคเอกชน อยู่ที่ 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลา อยู่ที่ 6.3 ล้านคน ลดลง 8% ขณะที่ผู้ทำงานต่ำระดับ อยู่ที่ 1.6 แสนคน ลดลง 4%
โดยไตรมาส 2/68 มีผู้ว่างงานประมาณ 3.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.91% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1/68 ซึ่งอัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.88% โดยในส่วนของค่าจ้างแรงงาน พบว่า ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 15,977 บาท/คน/เดือน ลดลง 1.9% แต่ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของภาคเอกชน อยู่ที่ 14,370 บาท/คน/เดือน เพิ่มขึ้น 2.4%
สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่
1.ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯต่อการจ้างงาน โดยสหรัฐฯมีการเรียกเก็บภาษีหลายรูปแบบทั้งการจัดเก็บภาษีเฉพาะในการสินค้าบางรายการ การกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้ ที่ไทยถูกจัดเก็บที่ 19% รวมทั้งยังมีมาตรการในการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำหนดสินค้า
นอกจากนี้ไทยยังต้องปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯกวาหมื่นรายการเป็น 0% โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้น และกระทบต่อการจ้างงานหรือชั่วโมงการทำงานของแรงงาน ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนการเปิดตลาดใหม่ มีมาตรการป้องกันสินค้าไทย รวมถึงการตรวจสอบการสวมสิทธิของสินค้า
2. การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยในปี 67 องค์กรไทย 25% มีแนวโน้มจะลดพนักงานและปรับโครงสร้างองค์กร โดยลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา และหันไปจ้างแบบพนักงานประจำไม่เต็มเวลา รวมถึงพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน ระดับรายได้ ตลอดจนสิทธิตามกฏหมายต่างๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรตรวจสอบให้การดำเนินการของสถานประกอบการเป็นไปตามกฏหมาย
ทั้งนี้ การปรับสัญญาจ้างมาจากแนวโน้มที่บริษัทต้องการลดต้นทุน เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นไม่จำเป็นต้องทำงานแบบฟูลไทม์ก็ได้
ส่วนกรณีมีบางบริษัทประกาศโครงการเออร์ลี่รีไทร์ ปี 2568 มีผลต่อการจ้างงานหรือการเกษียณอายุในอนาคตหรือไม่ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาฯ สสภาพัฒน์ กล่าวว่า การเปิดให้สมัครใจออก เป็นเรื่องการปรับโครงสร้างตัวองค์กร ซึ่งต้องการแรงงานใหม่ ๆ เข้ามา และสามารถให้ค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าคนอายุ 45 ปีขึ้นไปได้ ซึ่งคงมีแรงงานทดแทนมา แต่แรงงานที่ออกไป ถ้าไม่เตรียมความพร้อมในการหาอาชีพรองรับ ก็อาจจะเกิดปัญหาสังคมในระยะถัดไปได้
"การตัดสินใจสมัครใจ หรือไม่ออก แต่ละบุคคลต้องพิจารณาตัวเองให้ดีว่า ออกไปแล้วจะทำอะไรที่สามารถเลี้ยงชีพได้ต่อไป เพราะในโลกปัจจุบัน ค่าครองชีพคงไม่สามารถอยูได้โดยไม่ทำงาน" นายดนุชา กล่าว
3. การขาดแคลนแรงงานต่างด้าว ที่ปัจจุบันแรงงานต่างด้าว 3.8 แสนคน ไม่ต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือดำเนินการไม่ครบถ้วน อีกทั้งรัฐบาลกัมพูชายังมีการดำเนินการมาตรการเชิงบังคับในการดึงแรงงานกลับประเทศ ทำให้สถานประกอบการในภาคการก่อสร้าง ภาคการผลิต รวมถึงภาคเกษตร มีความเสี่ยงจะขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น
นายดนุชา กล่าวว่า ตัวเลขเบื้องต้นในส่วนแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศมีประมาณ ประมาณ 80% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม แต่ที่ผ่านมาเราบริหารจัดการแรงงานได้ระดับหนึ่ง เมื่อแรงงานเหล่านี้หายไป ก็มีการดึงแรงงานจากประเทศอื่นเข้ามาเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นผลกระทบของแรงงานที่ขาดหายไปคงเป็นระยะสั้นเท่านั้น และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจอาจไม่ได้มากอย่างที่คาดการณ์ ซึ่งโดยรวมไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก
4. การเกิดอันตรายจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าการประสบอันตรายกรณีรายแรงมีสัดส่วนไม่มาก แต่ส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมแย่ลง และยังมีผลกระทบทางด้านจิตใจที่ไม่อาจชดเชยได้อย่างครอบคลุม สถานประกอบการจึงควรบำรุงรักษา เครื่องมือ เครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ อบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัย และการชดเชยให้แก่แรงงานอาจต้องคำนึงถึงค่าเสียโอกาส
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO