ช้างป่าบุกสวนทุเรียนยะลา โค่นหมอนทองอายุ 50 ปีล้มระเนระนาด
ปลัดอำเภอธารโต พร้อม จนท.อุทยานแห่งชาติบางลาง และผู้นำชุมชน เข้าตรวจสอบ สวนทุเรียนใน ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา หลังถูกช้างป่าบุกรุกทำลาย ต้นทุเรียนอายุกว่า 50 ปี ล้มระเนระนาด ปัญหายืดเยื้อที่ยังไม่สามารถหาทางแก้ไขได้
วันนี้ (28 ส.ค. 68)นายจุรินทร์ มะหมัด ปลัดอำเภอธารโต จ.ยะลา พร้อมด้วย นายธีระพล สุขเกษม นักวิชาการป่าไม้ ประจำอุทยานแห่งชาติบางลาง จ.ยะลา และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าของสวนทุเรียน ได้เดินทางเข้าไปตรวจดูสภาพความเสียหายของต้นทุเรียนหมอนทอง อายุประมาณ 40-50 ปี จำนวน 12 ต้น ที่หมู่ 4 บ้านปูโล๊ะสะนีแย ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา ซึ่งได้ถูกช้างป่าบุกเข้ามาทำลาย ใช้งาดันต้นทุเรียนขนาดใหญ่ทั้ง 12 ต้น ล้มระเนระนาด ขวางเส้นทางเข้าสวน
โดยสวนทุเรียน ที่ได้รับความเสียหายดังกล่าวเป็นของนายอลัน เจะหะ ผู้ช่วยกำนันตำบลบ้านแหร ซึ่งได้เข้ามาสำรวจความเสียหายอีกครั้ง หลังแจ้งไปทางอำเภอ และอุทยานแห่งชาติ ว่าถูกช้างป่าบุกทำลายพืชสวนจนได้รับความเสียหาย
นายอลัน เจะหะ เจ้าของสวนได้เปิดเผยว่า เมื่อ 3 วันก่อน ได้มีช้างป่า อย่างน้อย 3 ตัว บุกเข้ามาทำลายโค่นต้นทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ซึ่งมีขนาดลำต้นสูงใหญ่ ล้มระเนระนาดจำนวนมากถึง 12 ต้น โดยที่ผ่านมาตั้งแต่หลังสถานการณ์โควิด-19 ชาวสวนทุเรียน สวนยางพาราในพื้นที่ได้พบเห็น และถูกช้างป่า บุกมาทำลายพืชสวนจนเสียหายแล้วหลายครั้ง แต่เป็นความเสียหายจำนวนไม่มากเหมือนครั้งนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชาวบ้านโดยเฉพาะชาวสวนทุเรียน และสวนยาง มีความหวาดกลัวมาโดยตลอด เนื่องจากช้างป่ามักจะออกหาอาหารกินในช่วงเวลากลางคืน ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าออกไปกรีดยาง ส่วนสวนผลไม้ อย่างทุเรียน ชาวบ้านก็กลัวจะไปพบเจอช้างป่า ออกมาหากินในสวนซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
สำหรับความเสียหายในครั้งนี้ ตนเองก็จะทำเรื่องนำหลักฐานไปยื่นขอเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากเหตุช้างป่าบุกมาทำลายพืชสวน ก็ต้องว่าไปตามระเบียบของทางราชการ
ด้านนายจุรินทร์ มะหมัด ปลัดอำเภอธารโต ซึ่งได้รับแจ้งเรื่องและนำเจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจตรวจสอบความเสียหายของพืชผลในพื้นที่ เพื่อจะดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาในกรอบระเบียบใหม่อีกครั้ง ในส่วนของการแก้ไขปัญหานั้น ซึ่งมีปัญหามานานและไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งที่ผ่านมาทางหน่วยงานเกี่ยวข้อง ได้ร่วมมือกันในการเฝ้าระวัง และผลักดันช้างป่าให้ออกจากพื้นที่ โดยผลักดันฝูงช้างป่า ไปบริเวณแนวป่ารอยต่อประเทศเพื่อนบ้านทางทิศตะวันตก เนื่องจากป่าไม้แนวชายแดนยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ และคาดว้างป่าจะสามารถอาศัยอยู่ได้แต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะเมื่อผลักดันไปแล้ว ฝูงช้างก็ยังคงวนเวียนกลับมาหากินในพื้นที่ จนสร้างความหวาดกลัวและความไม่ปลอดภัยในชีวิตให้กับประชาชนใน ต.บ้านแหร ยิ่งในช่วงที่มีฤดูผลไม้กำลังออกผลผลิต ก็จะเกิดเหตุขึ้นทุกปี
ปลัดอำเภอธารโต กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น ยังสร้างความสับสนจากข้อมูลที่มีกระแสข่าวออกไปว่า ช้างป่า ดังกล่าวนั้นเป็นช้างเลี้ยงที่ถูกนำมาทิ้งไว้ เนื่องจากมีชาวบ้านพบเห็นพฤติกรรมของช้างที่ไม่เหมือนช้างป่าทั่วไป แต่ทางอำเภอก็ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติบางลาง ว่า ช้างดังกล่าว เป็นช้างป่า ไม่ใช่ช้างบ้าน และไม่มีเจ้าของ ตามที่ประชาชนในพื้นที่เข้าใจ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ช้างป่าที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่นั้น อาจจะมีการเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากอาศัยหลบซ่อน และหากินอยู่ในพื้นที่ชุมชน ในสวนผลไม้ของชาวบ้านมานาน ซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้ทำร้าย หรือคุกคามช้างป่าดังกล่าว โดยที่ผ่านมานั้น หน่วยงานในพื้นที่ ก็ได้รับการประสานความร่วมมือจากทั้งผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงทางอุทยานแห่งชาติบางลาง ก็มีแผนการผลักดันช้างมาอย่างต่อเนื่อง แต่เหมือนกับว่า เมื่อถูกผลักดันไปแล้ว บางพื้นที่ช้างป่าไม่สามารถผ่านไปได้ จึงได้วนเวียนกลับมาอยู่อาศัยและออกหาอาหารใกล้กับชุมชนที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ซึ่งหลังจากนี้ จะต้องมีการเรียกประชุมหารือและวางมาตรการเร่งด่วน โดยจะเร่งดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเข้าเสนอในที่ประชุมจังหวัด เพื่อรับทราบต่อไป สำหรับความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ก็จะให้ทางเจ้าหน้าที่อำเภอ สำรวจและดำเนินการเยียวยาตามระเบียบใหม่ เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป
ด้าน นายธีระพล สุขเกษม นักวิชาการป่าไม้ประจำอุทยานแห่งชาติบางลาง จ.ยะลา เปิดเผยว่า ทางอุทยานแห่งชาติบางลาง ร่วมกับหลายหน่วยงาน ได้ตั้ง "ชุดผลักดันช้างป่าเฉพาะกิจ" เพื่อเข้าควบคุมและแก้ไขปัญหากลุ่มช้างป่าที่เข้ามาสร้างความเสียหายในพื้นที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา
นายธีระพล สุขเกษม กล่าวว่าการแก้ปัญหาช้างป่าเป็นเรื่องเฉพาะหน้า เนื่องจากช้างต้องการปัจจัยหลัก 3 อย่างคือ น้ำ, อาหาร, และที่อยู่อาศัย ซึ่งน้ำและอาหารเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการควบคุมพื้นที่อยู่อาศัย โดยขอความร่วมมือจากชาวบ้านเจ้าของสวนให้ "ดูแลสวนของตัวเอง" อย่างจริงจัง หมายถึงการตัดแต่งสวนยางหรือทุเรียนให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้รกทึบจนกลายเป็นที่พักพิงของช้างป่า
เจ้าหน้าที่ยังแนะนำให้เจ้าของสวนเข้าไปทำกิจกรรมในพื้นที่สวนของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะตามธรรมชาติแล้วช้างจะไม่ชอบอยู่ในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน หากมีการกดดันอย่างต่อเนื่องจะทำให้ช้างเกิดความเครียดและออกจากพื้นที่ไปในที่สุด
ชุดเฉพาะกิจนี้จะเข้าลาดตระเวนและเฝ้าระวังทุกคืน โดยหากสถานการณ์รุนแรงเกินกว่าที่ชุดเฉพาะกิจจะควบคุมได้ ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนภารกิจทันที และจะมีการประสานงานกับทุกหน่วยงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาช้างป่าบุกรุกทำลายพืชสวน ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จ.ยะลา มีจุดที่พบช้างป่าอยู่ 3 อำเภอ คืออำเภอบันนังสตา อำเภอธารโต และ อำเภอเบตง จ.ยะลา โดยที่อำเภอธารโตนั้น มีช้างป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จำนวน 2-3 ฝูงด้วยกัน ซึ่งเมื่อปี 2551 พบช้างป่า ที่บ้านสันติ 1 บ้านสันติ 2 อ.แม่หวาด เขตรอยต่อบ้านสายสุราษฏ์ บ้านฉลองชัย บ้านภักดี อ.บันนังสตา จ.ยะลา มีช้างป่าประมาณ 30 กว่าตัว ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติบางลาง เคยดำเนินการจัดแผนการเฝ้าระวังป้องกัน และผลักดันช้างป่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ชรบ. อส.และชาวบ้าน ประมาณ 2-3 ปี จากนั้นช้างป่าก็หลบหนีเข้าไปหากินในป่าฮาลาบาลา จุดที่ 2 บริเวณบ้านปูโล๊ะสะนีแย บ้านบัวทอง บ้านซาไก ต.บ้านแหร และที่ ต.คีรีเขต จุดที่ 3 เคยพบฝูงช้างป่าที่บ้านบ่ออ่าง หมู่ 7 ต.แม่หวาด อ.ธารโต ซึ่งเป็นช้างป่าข้ามเขตเทือกเขาแนวชายแดนตามช่องทางธรรมชาติ ลงมาหากินพืชสวนของชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง จุดดังกล่าวพบช้างป่าประมาณ 13-17 ตัว แต่ปัจจุบันไม่พบร่องรอยแล้ว หลังชาวบ้านและ จนท.พยายามผลักดันให้กลับเข้าป่าธรรมชาติ ส่วนที่ อ.เบตง ก็พบปัญหาจากช้างป่า เข้ามาบุกรุกหากินพืชสวนในลักษณะเดียวกันนี้
ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ ได้ให้ข้อมูลว่าบริเวณพื้นที่ ที่ช้างป่าบุกรุกเข้ามาทำลายพืชสวนนั้น มีแหล่งน้ำใต้ดินผุดขึ้นมา และช้างป่า มักจะลงมากินน้ำบริเวณดังกล่าวเป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า แหล่งน้ำที่ผุดขึ้นมานั้น อาจจะมีการปนเปื้อนของดินโปงหรือดินเค็มที่สัตว์ป่าชอบกิน เพราะเนื่องจาก พบว่า น้ำที่มีกลิ่นกำมะถัน หรือกลิ่นไข่ต้ม ซึ่งปัญหาช้างป่าที่ จ.ยะลา นั้นมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเสียชีวิตจากการถูกช้างป่าทำร้ายมาแล้ว 2 ราย ได้รับบาดเจ็บอีก 2-3 รายในช่วงที่ช้างป่าขาดแคลนอาหาร และออกมาอาศัยในชายป่าใกล้พื้นที่ชุมชน
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาช้างป่า ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ทางปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติบางลาง จะมีการเรียกชาวบ้านและเกษตรในพื้นที่ มาร่วมประชุมหารือ วางมาตรการแก้ไขปัญหาและแนวทางการผลักดันช้างป่าออกจากพื้นที่ อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย และลดการเกิดอันตรายต่อชีวิตของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมทั้งจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมจังหวัด เพื่อรายงานสถานการณ์ให้รับทราบต่อไป