'ETDA' ปักธง 11 นโยบายดันไทยสู่จริยธรรม AI บนมาตรฐานโลก
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานโลก จัดงานสัมมนาใหญ่เผยแพร่ผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบาย “แนวทางขับเคลื่อน AI ไทยสู่จริยธรรมสากล” ภายใต้กรอบ UNESCO Recommendation on the Ethics of Artificial Intelligence ที่ 194 ประเทศให้การรับรอง
การสัมมนาได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 45 หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และวิชาการ เพื่อนำเสนอภาพรวมสถานภาพ AI ไทย พร้อมระดมความคิดเห็นเพื่อสร้าง แผนปฏิบัติการด้านจริยธรรม AI ที่เหมาะสมกับบริบทประเทศ
จุดแข็ง–จุดอ่อน AI ไทย
ผลการศึกษาเผยว่า ไทยมีความก้าวหน้าหลายด้าน เช่น
• การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Policy) ด้วยการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างเต็มรูปแบบ
• การศึกษาและวิจัย (Education & Research) ที่ริเริ่มโครงการสร้างความรู้ด้าน AI เช่น THAI Academy และโครงการ Reskilling/Upskilling แรงงาน
อย่างไรก็ตามยังพบ ช่องว่างใหญ่ ใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่
1. กฎหมายกำกับดูแล AI (Ethical Governance) ที่ยังอยู่ระหว่างการร่าง
2. การประเมินผลกระทบทางจริยธรรม (Ethical Impact Assessment – EIA) ที่ยังไม่มีมาตรฐานระดับชาติ
3. ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender) ที่ขาดข้อมูลสัดส่วนผู้หญิงในสายงาน AI และยังไม่มีกลไกแก้ปัญหาอคติในระบบอัลกอริทึม
เจาะ 11 นโยบายหลักตามยูเนสโก
ETDA เสนอ 11 แนวนโยบายเพื่อใช้เป็นกรอบขับเคลื่อน ได้แก่
1. การประเมินผลกระทบทางจริยธรรม
2. ธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลจริยธรรม
3. นโยบายข้อมูล
4. การพัฒนาและความร่วมมือระหว่างประเทศ
5. สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
6. เพศ
7. วัฒนธรรม
8. การศึกษาและวิจัย
9. การสื่อสารและข้อมูล
10. เศรษฐกิจและแรงงาน
11. สุขภาพและสุขภาวะทางสังคม
มุ่งดันไทยยืนได้ในเวทีโลก
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA ย้ำว่า AI ไทยต้องพัฒนาอย่างมีจริยธรรมและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก โดย ETDA ใช้โมเดล AI Global Practice Center มุ่ง 4 เสาหลัก ได้แก่ การสร้างขีดความสามารถ, การเฝ้าระวังมาตรฐานโลก, สนับสนุนการวิจัย และสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ
ดร.สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)ชี้ว่าโจทย์ใหญ่คือการนำ AI ไปสู่การปฏิบัติจริงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจ แต่ยังมีความท้าทายด้านการขาดแคลนบุคลากรและการนำไปใช้ในภาคธุรกิจที่ยังน้อยเพียง 20% ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาในมิติเศรษฐกิจและแรงงานที่แม้จะเน้นการ Reskilling แต่ยังขาดนโยบายที่ชัดเจนในการรับมือผลกระทบต่อตลาดแรงงาน
การขับเคลื่อนจริยธรรม AI ของไทยต้องไม่หยุดที่ทฤษฎี โดยรัฐควรสนับสนุนให้มี ‘พื้นที่ทดลอง (Sandbox)’ ที่ปลอดภัยสำหรับภาคเอกชนได้ทดลองใช้ AI ในสภาพแวดล้อมจริง และเร่งสร้างความร่วมมือเพื่อลดช่องว่างความรู้และผลิตบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม
ในมุมภาคเอกชน ด้านศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ กรรมการเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมนวัตกรรมและวิจัย หอการค้าไทย กล่าวว่า ความท้าทายสำคัญคือความคาดหวังของสังคม การขาดกรอบความคิดที่ชัดเจน และต้นทุนในการปรับตัวของภาคธุรกิจ เพื่อให้การขับเคลื่อนเกิดผลจริง จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจผ่าน ‘ความร่วมมือแบบมีส่วนร่วม’
โดยเปิดให้เอกชนร่วมออกแบบกฎระเบียบ จัดให้มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี และพัฒนาระบบ AI Certification ที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติได้จริง ภาคเอกชนพร้อมจะเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่สะท้อนว่า AI แบบใดที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้งาน โดยควรเริ่มต้นจากกติกาแบบ Soft Law เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม
พินิจ จันทรังสี ที่ปรึกษาระดับภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ องค์การยูเนสโกให้มุมมองสากลว่า ความท้าทายร่วมกันของหลายประเทศคือการเปลี่ยนกรอบจริยธรรมในภาพรวมให้เป็นแนวปฏิบัติที่จับต้องได้ ยูเนสโกได้พัฒนาเครื่องมืออย่าง Ethical Impact Assessment และ Readiness Assessment Method เพื่อช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ แต่เครื่องมือเหล่านี้ต้องถูกนำไปปรับใช้ในแต่ละบริบทอย่างลึกซึ้งโดยอาศัยมุมมองแบบสหวิทยาการ ไม่ใช่แค่ด้านเทคนิค ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับผลการศึกษาที่ชี้ว่าประเทศไทยยังขาดกรอบ EIA ระดับชาติ
ดร.ชัยชนะปิดท้ายว่า การผลักดัน AI ไทยไม่ใช่เรื่องของภาครัฐฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัย เครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อสร้างกรอบกำกับดูแลที่โปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานโลก โดย ETDA เตรียมศึกษาและพัฒนา กรอบการทำ EIA เชิงปฏิบัติ เป็นลำดับถัดไป เพื่อให้ทุกองค์กรในไทยสามารถนำไปปรับใช้จริง และสร้าง AI ที่น่าเชื่อถือ แข่งขันได้ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง