ดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนเตรียมรับการปรับลดดอกเบี้ยเฟดในเดือน ก.ย.
ดอลลาร์อ่อนค่า ขณะที่นักลงทุนเตรียมรับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ก.ย.
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (01/09) ที่ระดับ 32.32/33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (29/08) ที่ระดับ 32.39/40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
ขณะที่นักลงทุนเตรียมรับการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือน ก.ย. หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29/08) ว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน ก.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังปรับตัวขึ้น 2.6% เช่นกันในเดือน มิ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.3% ในเดือน มิ.ย.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือน ก.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.8% ในเดือน มิ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังปรับตัวขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือน มิ.ย.
นอกจากนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นชั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 58.2 ในเดือน ส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 58.6 จากระดับ 61.7 ในเดือน ก.ค. โดยดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้ของเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ก.ค.ที่ระดับ 3.4% นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.8% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ก.ค.ที่ระดับ 4.9%
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือน ก.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน มิ.ย. นอกจากนี้ รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ก.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือน มิ.ย.
นอกจากนี้ ทางด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐ ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐ มีคำตัดสินเมื่อวันศุกร์ (29/08) ว่า มาตรการเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ส่วนใหญ่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีเกินขอบเขตในการประกาศเก็บภาษี แต่ศาลอนุญาตให้มาตรการภาษียังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป พร้อมทั้งส่งคดีกลับไปยังศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ยืนยันว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงเดินหน้าเจรจาการค้ากับนานาชาติต่อไป
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29/08) น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ค. 68 ชะลอจากเดือนก่อน โดยกิจกรรมในภาคบริการลดลงจากภาคการท่องเที่ยว ทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ สอดคล้องกับรายรับภาคการท่องเที่ยวที่ปรับลดลง
ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรม ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น และการหยุดผลิตรถยนต์ชั่วคราวเพื่อปรับกระบวนการผลิต แต่หากไม่รวมผลของปัจจัยดังกล่าว การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับดีขึ้น สอดคล้องกับการส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้นในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นจากเดือนก่อน จากอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสด ตามราคาผลไม้และเนื้อสัตว์ที่ลดลง และอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงาน ตามราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงจากราคาอาหารสำเร็จรูปที่ฐานสูงในปีก่อน และราคาของใช้ส่วนตัวที่ปรับลดลงจากการทำโปรโมชั่น
นอกจากนี้กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธปท.มองว่าประเด็นสำคัญที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่า คือเรื่องของนโยบายที่วางไว้ หรือมาตรการที่กำลังดำเนินอยู่ จะมีความต่อเนื่องมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ มองว่างบประมาณรายจ่าย ปี 2569 ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ จะเป็นเรื่องของการดำเนินงานตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 32.25-32.36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 32.28/29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (01/09) ที่ระดับ 1.1691/93 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (29/08) ที่ระดับ 1.1671/73 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29/08) สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศส (INSEE) เปิดเผยข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 0.3% ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขเบื้องต้น และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ โดย INSEE ระบุว่า ภาคการส่งออกฟื้นตัวขึ้นโดยขยายตัว 0.5% หลังจากที่หดตัว 1.3% ในไตรมาสแรก โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจฝรั่งเศส ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 0.0% จากที่เคยติดลบ 0.3% ในไตรมาสแรก เนื่องจากการใช้จ่ายด้านอาหารและบริการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการใช้จ่ายด้านพลังงานที่ลดลงอย่างมากถึง 2.4%
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอการเติบโตและปัญหาขาดดุลงบประมาณในระดับสูง โดยนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรู มีเป้าหมายที่จะลดการขาดดุลงบประมาณจาก 5.4% ของ GDP ในปีนี้ ให้เหลือ 4.6% ในปี 2569 และตั้งเป้าให้เป็นไปตามเกณฑ์ของสหภาพยุโรปที่ระดับ 3% ภายในปี 2572 ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1683-1.1736 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1729/32 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (01/09) ที่ระดับ 147.27/28 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (29/08) ที่ระดับ 147.12/16 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ เรียวเซ อากาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในฐานะหัวหน้าผู้เจรจาการค้าของญี่ปุ่น คาดหวังว่าจะเดินทางไปสหรัฐ อย่างน้อยอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นยังคงเร่งผลักดันให้สหรัฐดำเนินการตามข้อตกลงลดภาษีที่บรรลุร่วมกันเมื่อปลายเดือน ก.ค. ซึ่งรวมถึงการลดอัตราภาษีสำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น จากเดิม 25% เหลือ 15% และยุติการเก็บภาษีซ้อน (tariff stacking) ที่นำภาษีเดิมมาบวกเพิ่มกับอัตราภาษีพื้นฐาน 15% ซึ่งจำเป็นต้องใช้คำสั่งฝ่ายบริหารในการแก้ไข
อย่างไรก็ดี มีรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (30/08) ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้ล่าช้า เนื่องจากคำร้องขอรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ญี่ปุ่นเพิ่มการซื้อข้าวจากสหรัฐ ซึ่งญี่ปุ่นแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรงต่อเงื่อนไขดังกล่าว
นอกจากนี้ ในวันนี้ (01/09) S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นประจำเดือน ส.ค. โดยระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของประเทศได้หดตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง มีสาเหตุสำคัญมาจากยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐ และอุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง
โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายในเดือน ส.ค. อยู่ที่ระดับ 49.7 แม้จะปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 48.9 ในเดือน ก.ค. แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50.0 ซึ่งเป็นเกณฑ์ชี้วัดภาวะหดตัว ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ทั้งนี้ แม้อัตราการหดตัวของผลผลิตภาคโรงงานจะชะลอตัวลง แต่ยอดคำสั่งซื้อใหม่โดยรวมยังคงลดลงในอัตราเดียวกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่ยังงซบเซา ทั้งนี้ ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 146.76-147.38 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 147.05/06 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของยูโรโซน (02/09), ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากสถาบันไอเอสเอ็ม (ISM) ของสหรัฐ (02/09), ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTS ของสหรัฐ (03/09), การเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานภาคเอกชนจากเอดีพี (ADP) ของสหรัฐ (04/09), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (04/09),
ดัชนี PMI ภาคการบริการจากสถาบันไอเอสเอ็ม (ISM) ของสหรัฐ (04/09), ดัชนียอดคงค้างปลีกของสหราชอาณาจักร (05/09), อัตราว่างงานเดือน ก.ค.ของสหรัฐ (05/09), ตัวเลขที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของจำนวนการจ้างงานของสหรัฐ (05/09), รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของสหรัฐ (05/09)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -8.1/-7.8 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -6.3/-4.8 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนเตรียมรับการปรับลดดอกเบี้ยเฟดในเดือน ก.ย.
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net