โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

เอไอกับการศึกษา หากใช้มากไป สมองอาจไม่พัฒนา

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เอไอกลายมาเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเรียนและนักศึกษาในยุคปัจจุบัน ที่ช่วยให้ทำการบ้าน ทำรายงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่เอไออาจเป็นอันตรายต่อการพัฒนาสมองและการใช้ความคิด หากเราใช้มันมากเกินไป

“ChatGPT ช่วยเขียนเรียงความเรื่องปัญหาโลกร้อนให้หน่อย”

“ChatGPT ทำไมเกาหลีถึงแบ่งเป็นเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้?”

“ChatGPT ปัญหาคนว่างงานต้องใช้วิธีไหนแก้ไข?”

นี่คือตัวอย่างคำถามที่โปรแกรมเอไอ อย่าง ChatGPT สามารถประมวลข้อมูลออกมาเป็นคำตอบให้เราได้ในเวลาแค่กี่วินาที ไม่ว่าจะเป็นวิชาประวัติศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ หรือวิชาสังคม และกลายมาเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเรียนและนักศึกษาในยุคปัจจุบัน โดยผลสำรวจของเว็บไซต์ Study.com แสดงให้เห็นว่า มีนักเรียน 89% ที่ยอมรับว่าใช้โปรแกรมเอไอ อย่าง ChatGPT ในการทำการบ้านหรือทำรายงานทั้งหมด เพราะเอไอช่วยลดเวลานักเรียนในการค้นคว้าข้อมูล จากเดิมที่ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หรือหลายวัน อ่านหนังสือเป็นสิบเล่ม เพื่อเขียนเรียงความ หรือรายงานความยาวไม่กี่หน้า แต่เอไอสามารถช่วยรวบรวมข้อมูลและประเมินออกมาเป็นคำตอบให้ได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากนักเรียนหรือนักศึกษาใช้เอไอในการทำการบ้านหรือทำรายงานกันเป็นประจำ จะทำให้นักเรียนสูญเสียความสามารถในการค้นคว้าข้อมูลและประมวลข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของ “Critical Thinking” หรือ “การคิดเชิงวิพากษ์” ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการศึกษาที่ต้องการสอนให้นักเรียนสามารถใช้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผ่านการประมวลข้อมูลต่าง ๆ ใช้เหตุและผลในการตัดสินใจ แยกแยะความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ ซึ่งนับว่าเป็นทักษะสำคัญที่ต้องใช้ในการทำงานและพัฒนาตัวเอง

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าการใช้งานเอไอมากเกินไป จะลดประสิทธิภาพการเรียนรู้และการพัฒนา Critical Thinking รวมทั้งความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งในระยะยาว หากเราใช้เอไอในระบบการศึกษามากเกินไป จะทำให้เราสร้างคนรุ่นใหม่ที่ทำได้แต่รับข้อมูลเดิม ๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครที่สามารถนำข้อมูลเดิมที่มีอยู่มาวิเคราะห์หรือต่อยอดเป็นความรู้ใหม่ ๆ ได้

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ในรัฐเพนซิลเวเนียของสหรัฐฯ อธิบายว่าการเรียนรู้ที่ดีคือการที่นักเรียนได้สัมผัสกับเนื้อหาการเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยตรง เพื่อพัฒนาการคิด วิเคราะห์ และการจดจำในระยะยาว ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจใจเชิงลึก รวมทั้งตั้งคำถามด้วยตัวเองว่าเนื้อหาที่อ่านมานั้น มีตรงไหนที่น่าสงสัย ที่ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจะสร้างความเข้าใจเนื้อหาเชิงลึกให้กับนักเรียน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเองเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม การใช้เอไอในการเรียนรู้ จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างตื้นเขิน จดจำอะไรไม่ได้ และยิ่งใช้เอไอมากเท่าไร ก็จะยิ่งจดจำและเข้าใจเนื้อหาได้น้อยลงไปเท่านั้น และทำให้ผลการเรียนของนักเรียนแย่ลง และแย่ลงเรื่อย ๆ นี่เป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Outsourcing Cognition หรือการให้คนอื่นคิดแทนเรา จนทำให้เราเสี่ยงที่จะคิดอะไรเองไม่เป็น เพราะพึ่งพาเอไอให้คิดแทนเรามากเกินไป

การใช้เอไอในระบบการศึกษายังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่อง นั่นก็คือเอไอทำให้นักเรียนไม่รู้จักการสร้างผลงานที่เป็นของตัวเอง เช่น การเขียนรายงานหรืองานวิจัยที่ควรจะเป็นผลงานของนักเรียนแต่ละคน แต่เมื่อนักเรียนและนักศึกษาหันมาใช้เอไอในการช่วยทำงานวิจัยมากขึ้น ทำให้กลายเป็นเรื่องยากที่จะแยกได้ว่างานส่วนไหนคืองานที่นักเรียนเขียนเองและงานส่วนไหนที่เอไอเป็นคนเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก หากนักเรียน นักศึกษาในยุคนี้ ไม่สามารถเขียนรายงาน หรือทำงานวิจัยจากการวิเคราะห์ของตัวเองได้ เมื่อพวกเขาเรียนจบไปทำงาน พวกเขาจะคิดค้นความรู้ใหม่ ๆ หรือพัฒนาอะไรใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม เอไอเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์มีความสะดวกสบายมากขึ้นและประหยัดเวลาในการทำอะไรหลาย ๆ อย่าง การนำเอไอมาใช้ในการศึกษาจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อย่างไรก็ตาม เราต้องนำเอไอมาใช้ในการศึกษาอย่างระมัดระวัง ซึ่งเอไอจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาก็ต่อเมื่อใช้ควบคู่ระบบการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนยังต้องคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และต้องทำให้นักเรียนเข้าใจว่าเอไอเป็นแค่เครื่องมือภายนอกที่ช่วยทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ควรนำเอไอมาใช้ทำงานแทนเราทั้งหมด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...