7 THINGS WE LOVE ABOUT TAYLOR SWIFT FASHION MOMENTS บทบาทในโลกแฟชั่นของศิลปินเบอร์หนึ่ง
วินาทีนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Taylor Swift ถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้วยเพลงฮิตที่ติดท็อปชาร์ตมาอย่างยาวนาน กระแสคอนเสิร์ต The Eras Tour ที่เต็มไปด้วยโชว์อันน่าทึ่ง หรือจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสายสัมพันธ์รักระหว่าง Travis Kelce นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ที่เพิ่งประกาศหมั้นหมายเตรียมเข้าพิธีวิวาห์จนครองพื้นที่สื่อแทบทุกตารางนิ้ว
ด้วยการขยับตัวแต่ละครั้งที่เรียกเสียงฮือฮาได้เช่นนี้ คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มหันมาสนใจอีกครั้งว่า อะไรคือแรงดึงดูดและเสน่ห์เฉพาะตัวของ Taylor Swift ที่ทำให้เธอเป็นมากกว่าศิลปินที่มีเพลงติดหูทั่วไป ซึ่งนอกจากพาร์ตของดนตรีที่เด่นชัดแล้ว THE STANDARD POP จึงอยากพาทุกคนมาย้อนรอยก้าวสำคัญของศิลปินสาวผ่านมิติทางแฟชั่น ตั้งแต่การสร้างสรรค์คอลเล็กชันร่วมกับแบรนด์ระดับโลก การร่วมงานกับนิตยสารชั้นนำ บทบาทครั้งใหญ่ในอีเวนต์แฟชั่น ไปจนถึงสไตล์ในชีวิตประจำวัน และลุคที่กลายเป็นไวรัล ว่าเหตุใดทุกการปรากฏตัวของเธอจึงกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนและสื่อทั่วโลกต่างต้องจับตามอง
KEDS COLLABORATION
ความร่วมมือระหว่าง Taylor Swift และ Keds แบรนด์รองเท้าสนีกเกอร์สัญชาติอเมริกา เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 โดย Keds ได้เปิดตัวรองเท้ารุ่นพิเศษ ‘Keds Champion Red’ ที่นำสนีกเกอร์รุ่นคลาสสิกอย่าง Champion มาตีความใหม่ผ่านตัวตนของเธอโดยเน้นการใช้สีแดงสด คอลเล็กชันแรกนี้วางขายในวันเดียวกับอัลบั้ม Red และกลายเป็นไอเท็มที่ได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ ไม่น้อยหน้าผลงานดนตรี จึงเกิดกลายเป็นการต่อยอดคอลเล็กชันอีกหลายซีซันระหว่างปี 2013–2015 ซึ่งเป็นที่จดจำจากทั้งสีสันและลวดลายอย่างโพลกาดอตกีตาร์ แว่นกันแดด โบว์ ดอกไม้แบบวินเทจ ที่สะท้อนความร่าเริงและสไตล์อันเป็นอิสระ อีกทั้ง Keds ยังเป็นสปอนเซอร์หลักของ The 1989 World Tour ที่จัดขึ้นในปี 2015 และสร้างความตื่นเต้นด้วยคอลเล็กชันสนีกเกอร์พิเศษที่ทำขึ้นเพื่อทัวร์โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้การคอลแลบอเรชันระหว่าง Keds และ Taylor Swift ยังคงถูกยกเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการตลาดที่เชื่อมโลกแฟชั่นเข้ากับดนตรีได้อย่างแนบแน่นจวบจนปัจจุบัน
นอกจากนี้ Taylor Swift ยังปรากฏตัวเป็นพรีเซนเตอร์หลักบนแคมเปญ ‘Ladies First’ ของแบรนด์ที่ปล่อยออกมาในปี 2015 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนและเฉลิมฉลองผู้หญิงที่มีความมั่นใจและเป็นผู้นำในสังคม โดยมาพร้อมข้อความสร้างแรงบันดาลใจ เช่น “All dressed up with everywhere to go” และ “There’s no such thing as an average girl” นั่นเอง
STELLA McCARTNEY COLLABORATION
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ผสานโลกแฟชั่นและงานดนตรี ของ Taylor Swift ไว้ได้อย่างน่าสนใจ เกิดขึ้นในปี 2019 ภายใต้ชื่อคอลเล็กชัน ‘Stella x Taylor Swift’ โดยได้แรงบันดาลใจจากมิตรภาพระหว่างนักร้องสาวกับ Stella McCartney ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษชื่อดัง หลังจากทั้งสองมาพบกันที่คอนเสิร์ตของ Taylor ในกรุงลอนดอนและใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตจนเกิดเป็นไอเดียด้านแฟชั่นร่วมกัน
คอลเล็กชัน ‘Stella x Taylor Swift’ นี้ เผยโฉมออกสู่สาธารณชนพร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้ม Lover ประกอบด้วยเสื้อยืด เสื้อฮู้ด แจ็กเกตผ้าเดนิม กระเป๋า แอ็กเซสซอรี และขวดน้ำ การออกแบบไอเท็มทุกชิ้นนั้นอิงจากรายละเอียดของอัลบั้มโดยตรง เช่น ข้อความจากเนื้อเพลงอย่าง “There’s a dazzling haze” สีพาสเทลแสนหวานที่สอดคล้องกับอาร์ตเวิร์กอัลบั้ม และลายพิมพ์ที่สะท้อนความโรแมนติก อีกทั้งยังผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืนและปราศจากสารเคมี ตามปรัชญาของ Stella McCartney ที่มุ่งเน้นการผลิตงานแฟชั่นให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคอลเล็กชันนี้ได้รับความนิยมจนขายหมดอย่างรวดเร็ว และยังถูกกล่าวถึงในด้านตัวอย่างของการยกระดับ Merchandise ศิลปินให้กลายเป็น Ready-to-Wear ที่ทั้งแฟนเพลงและผู้รักแฟชั่นสามารถสวมใส่ได้จริง
MET GALA CO-CHAIR
สำหรับอีเวนต์ที่ชูความสำเร็จของ Taylor Swift ในวงการแฟชั่นให้เด่นชัดยิ่งขึ้นคือ การได้รับเกียรติให้เป็น Co-Chair ของงาน Met Gala ในปี 2016 ร่วมกับ Anna Wintour, Idris Elba และ Jonathan Ive ภายใต้ธีม ‘Manus × Machina: Fashion in an Age of Technology’ ซึ่งลุคในคืนนั้นของเทย์เลอร์ก็เป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในลุคที่โดดเด่นที่สุดของ Met Gala 2016 โดยเธอเลือกสวมชุดคัสตอมจาก Louis Vuitton สีเงินเมทัลลิก ออกแบบโดย Nicolas Ghesquière มีดีเทลคัตเอาต์ที่เพิ่มความฟิวเจอริสติก แมตช์กับรองเท้า Gladiator sandals ที่มีสายพันขึ้นมาถึงบริเวณเข่า ประกอบกับลิปสติกสีแดงเข้มและทรงผมบ๊อบสีแพลทินัมบลอนด์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์เดิมของเธอ โดยการปรากฏตัวในฐานะ Co-Chair ไม่เพียงตอกย้ำว่าเธอเป็นศิลปินที่วงการแฟชั่นยอมรับ แต่ยังเป็นจุดที่ทำให้ Taylor Swift ถูกจดจำด้วยคำจำกัดความที่ว่า เธอคือศิลปินหญิงผู้กล้าที่จะทดลองและกำหนดนิยามใหม่ให้กับตัวเอง
VOGUE SEPTEMBER ISSUE
ในปี 2019 Taylor Swift ได้รับเกียรติให้ขึ้นปกนิตยสาร Vogue ฉบับเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นฉบับที่สำคัญที่สุดในแต่ละปีของสื่อแฟชั่นชั้นนำเล่มนี้ โดยเทย์เลอร์สวมชุดจั๊มสูทสีฟ้า จาก Louis Vuitton พร้อมเครื่องประดับจาก Cartier และ Bvlgari มาในท่าโพสชี้นิ้วมาหากล้อง คล้ายภาพโปสเตอร์ Uncle Sam ที่ใช้ในช่วงสงครามโลก ซึ่งเป็นท่าทางที่สะดุดตาผู้คนเป็นอย่างมาก และสื่อถึงการเรียกร้องให้ผู้ชมมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในบทสัมภาษณ์ภายในนิตยสารฉบับนี้ เธอได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ของเธอเกี่ยวกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ การเผชิญกับการเลือกปฏิบัติทางเพศในวงการดนตรี และการตัดสินใจที่จะเป็นผู้สนับสนุนสิทธิของชุมชน LGBTQ+ อย่างเปิดเผย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในมุมมองทางการเมืองของเธอหลังจากเหตุการณ์ในปี 2016 และการตัดสินใจที่จะใช้แพลตฟอร์มของเธอในการลุกขึ้นมาเป็นกระบอกเสียงเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรมในสังคม
การขึ้นปกนิตยสาร Vogue ของเทย์เลอร์ในฉบับเดือนกันยายนครั้งนี้ ถือเป็นหลักฐานการถูกยอมรับในความสำเร็จและอิทธิพลของเธอในวงการแฟชั่นและสังคมเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนถึงการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในตัวตนของเธอ จากศิลปินที่เน้นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ไปสู่การเป็นผู้สนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมในสังคม
STREET STYLE ICON
นอกเหนือจากการปรากฏตัวบนพรมแดงหรืองานแฟชั่นระดับโลก Taylor Swift ยังเป็นหนึ่งในไอคอนสไตล์ด้านการแต่งกายในชีวิตประจำวัน เพราะถึงแม้เธอจะไม่ได้สร้างเทรนด์ใหม่ ๆ ขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ลุค street style ที่เธอสวมใส่กลับถูกพูดถึงบนหน้าสื่ออยู่เรื่อย ๆ จากการแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกภายในของเธอได้ส่งผลออกมาสู่สไตล์การแต่งตัวภายนอกอย่างไร
โดยผู้คนเริ่มจับตามองแฟชั่นของเทย์เลอร์มากขึ้นในช่วงปล่อยอัลบั้ม Red ปี 2012 ที่เธอมักปรากฏตัวด้วยเสื้อผ้าแนววินเทจโทนสีสดใส ไอเท็มลายโพกาดอต กระโปรงยาวระดับเข่าทรง A-line และเสื้อคาร์ดิแกนตัวบางที่ให้บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งชวนให้เธอดูให้ความสำคัญกับความจริงใจและซื่อตรงกับตัวเองมากกว่าการตามกระแส ส่วนช่วงถัดมาในยุคอัลบั้ม 1989 Taylor เริ่มมีสไตล์ที่เรียบหรูมากขึ้น และเข้าสู่ความเป็นสาวป๊อปอย่างเต็มตัว เห็นได้ชัดจากการเลือกหยิบไอเท็มลายตารางหมากรุก มินิสเกิร์ต ขยับมาเล่นสีสันที่แอ็กเซสซอรีให้เป็นกิมมิกเล็ก ๆ แทน หรือในยุค Reputation หลังจากที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สไตล์ของ Taylor Swift ในช่วงนั้นจะเน้นการใช้ลายพิมพ์ที่ฉูดฉาดจนบางคนอาจมองว่าไม่เข้าที่เข้าทาง ขณะเดียวกันก็ยังสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดูดุดันและเป็นอิสระจากกรอบเดิม ๆ และเมื่อถึงยุค Midnights สไตล์ของเทย์เลอร์ก็ผ่อนคลายลงอีกครั้งในโทน Comfy สบาย ๆ ใช้ซิลูเอตต์หลวมและสีโทนกลางที่สะท้อนความมั่นใจและความนิ่งในตัวเองมากกว่าเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสไตล์เช่นนี้ ไม่เพียงสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างให้กับเทย์เลอร์ สวิฟต์เท่านั้น แต่ยังทำให้เธอกลายเป็นผู้มีอิทธิพลที่ผลักดันให้แฟน ๆ และผู้หญิงทั่วโลกเฝ้าติดตามรอดูลุคใหม่ ๆ ในทุกโอกาส พร้อมทั้งอยากครอบครองไอเท็มที่เธอสวมใส่เสมอ
THE ERAS TOUR LOOKS
หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ The Eras Tour ของ Taylor Swift กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ไม่ได้มีเพียงแค่การทัวร์คอนเสิร์ตในรอบ 5 ปีและนำเพลงฮิตตลอดเกือบสองทศวรรษกลับมาร้อยเรียง แต่ยังรวมถึงมิติด้านแฟชั่นที่ถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี โดยเธอทำงานร่วมกับสไตลิสต์คู่ใจอย่าง Joseph Cassell Falconer พร้อมด้วยคอสตูมจากบรรดาแบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่กลายเป็นภาพไวรัลบนโลกออนไลน์ อาทิ ชุดบอดี้สูทคอร์เซ็ตประดับคริสตัลจาก Versace สำหรับยุค Lover, เดรสราตรียาวสีชมพูจาก Zuhair Murad เข้ารูปช่วงอกและเอว มีโครงวอลลุ่มบานออกฟูฟ่องสไตล์เจ้าหญิงในเพลง Enchanted, เดรสตกแต่งฟรินจ์ประดับเลื่อมสีทองของ Roberto Cavalli สำหรับแสดงเพลงในอัลบั้ม Fearless, เดรสชีฟองสุดพลิ้วไหวจาก Alberta Ferretti ในเซสชัน Folklore ที่ช่วยตอกย้ำบรรยากาศดั่งเทพนิยาย ไปจนถึง Christian Louboutin ที่รับหน้าที่ออกแบบรองเท้าหลากหลายสไตล์สำหรับทัวร์ครั้งนี้มากกว่า 250 คู่ ซึ่งการเลือกใช้แฟชั่นที่มีทั้งความงามและความหมายอย่างพิถีพิถันเช่นนี้ นอกจากจะทำให้แฟนคลับในสเตเดียมและบนโซเชียลมีเดียได้ตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ ยังเป็นเครื่องสะท้อนพลังของแฟชั่น ที่สามารถเล่าเรื่องราวทางดนตรีได้อย่างลึกซึ้ง
BEAUTY EVOLUTION
หากกล่าวถึงการเติบโตด้านแฟชั่นของ Taylor Swift ที่สะท้อนผ่านแต่ละยุคของเสียงเพลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดไม่แพ้กันคือสไตล์ผมและเมคอัพของเธอ ซึ่งเหมือนเป็นอีกหนึ่งภาษาที่เธอใช้เล่าเรื่องราวของตัวเอง ในยุคคันทรีช่วงแรก Taylor ปรากฏตัวด้วยลุคสดใสและไร้เดียงสา ผมยาวดัดลอนธรรมชาติและลิปพีชอ่อน ๆ ถ่ายทอดความเป็นเด็กสาวที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ต่อมาในยุค Red เธอกล้าออกจากกรอบเดิม ด้วยลิปแดงสดและผมดัดลอนเรียบขึ้น สะท้อนถึงการทดลองและค้นหาตัวตนใหม่อย่างกล้าหาญ ยุค 1989 เผยให้เห็นความเฉียบคมผ่านผมบ๊อบสีแพลทินัมบลอนด์และเมคอัพโกลว์สุดโมเดิร์นที่ใครหลายคนน่าจะทึ่งกับการเปลี่ยนภาพลักษณ์ครั้งนี้ ขณะที่ยุค Reputation เธอนำเสนอภาพลักษณ์ดุดันด้วย smoky eye และลิปแดงเข้ม สื่อถึงพลังและความมั่นใจหลังผ่านการเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เรื่อยมาจนยุค Lover และ Folklore/Evermore ที่เมคอัพของเธอกลับมาในลุคนุ่มนวลและโรแมนติก ผสมผสานความเป็นธรรมชาติและแฟนตาซี เสมือนชวนแฟน ๆ เข้าไปเดินในโลกดนตรีและจินตนาการของเธอ ก่อนจะมาถึงยุค Midnights และ The Eras Tour ที่ Taylor เล่นสนุกกับทรงผมและเมคอัพอย่างหลากหลายตามชุดบนเวทีให้ดูอย่างจุใจ
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสไตล์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่าง Taylor Swift และสวิฟตี้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาคงรู้สึกเหมือนได้ร่วมเดินทางค้นหาตัวตนไปพร้อม ๆ กับเธอ และเมื่อได้เห็นศิลปินที่รักกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าที่ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ผู้คนมากมายก็ได้รับพลังให้มีแรงบันดาลใจ เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้ค้นพบสไตล์ของตัวเองเช่นกัน
ภาพ: Getty Images, Courtesy of Brands