“ณัฐพงษ์” ซัดรัฐบาลจัดงบฯ 69 ไม่ตอบโจทย์แก้วิกฤติ
รัฐสภา 13 ส.ค.-“ณัฐพงษ์” ซัดรัฐบาล หูหนวก-ตาบอด จัดงบฯ 69 ไม่ตอบโจทย์แก้วิกฤติเศรษฐกิจ-สู้กับสงคราม ไม่ฟังเสียงสภาฯ ให้ สส.เป็นตรายาง จี้ปฏิรูประบบงบประมาณ หากไม่ทำไม่มีวันที่จะเห็นเงินในทุกๆ กระเป๋าที่รัฐถืออยู่ ย้ำเศรษฐกิจไทยต้องการงบลงทุนใหม่เพื่ออนาคตประเทศ รัฐบาลต้องถือธงนำ สร้างความเชื่อมั่น
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีราย ชื่อหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่านค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะแปรญัตติ งบ ปี 69 มาตรา 4 ภาพรวม ว่า การจัดสรรงบประมาณปีนี้มีปัญหาที่ซ้ำๆเหมือนกันในทุกกระทรวง เป็นการจัดสรรงบที่คิดไม่รอบคอบ คิดไม่ลึก คืองบลงทุนไม่ได้ถูกลงทุนไปเพื่อการสร้างอนาคตของประเทศ ตนเห็นด้วยที่จำเป็นจะต้องปรับลดกรอบวงเงินงบปี 69 เพื่อเก็บกระสุนไว้ ประหยัดพื้นที่ทางการคลังไว้เพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศในระยะยาว ในขณะที่วันนี้ประเทศไทยกำลังกับ 2วิกฤต 2 สงคาม ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตชายแดน ไทย-กัมพูชา วิกฤตการณ์การเมืองที่รัฐบาลมีเสียงปรื่มน้ำ การประชุมสภาฯในการพิจารณางบฯ ก็ยังมีการตั้งคำถามอยู่แล้วว่าจะผ่านได้หรือไม่ได้ องค์ประชุมจะพอหรือไม่พอ มีเรื่องกระบวนการนิติสงคราม ที่ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงสงครามการค้า ที่รัฐบาลแปรญัตติกลับมาเข้ามามองไม่เห็นเลยว่าได้เตรียมงบประมาณสำหรับการรองรับสงครามการค้าอย่างไรบ้าง ทั้งสองวิกฤตสองสงครามในที่นี้เป็นสิ่งที่พวกเราอยากจะเห็นว่าการจัดสรรงบฯปี 69 รัฐบาลได้เตรียมกรอบป้องกันและสร้างการลงทุนที่เป็นอนาคตกับประเทศอย่างไรบ้าง
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เมื่อลงไปดูรายละเอียดผลงานที่ผ่านมา ซึ่งตนไม่ขอโทษว่าเป็นความผิดพลาดของกมธ.ฯ แต่ขอโทษโดยตรงว่าเป็นข้อผิดพลาดของรัฐบาลที่แปรญัตติกลับมาไม่ตรงจุด ปีนี้กมธ.ฯสามารถปรับลดงบฯลงไปได้ 8,920 ล้านบาท ประมาณ 0.24% ของงบฯ ทั้งหมด ถึงแม้ปีนี้เราจะสามารถปรับลดงบฯได้มากกว่าปีที่แล้ว ที่ปรับลดได้ 0.21% แต่ต้องบอกว่าผลงานปีนี้ยังต่ำว่ามาตรฐาน เพราะไปดูผลงานของ กมธ.ฯ 5 ปีย้อนหลังจะพบว่าสัดส่วนการปรับลดได้ในปีก่อนๆ เฉลี่ยนอยู่ที่ 0.44% สิ่งที่สะท้อนคือการทำหน้าที่ของกมธ.ฯทำได้เพียงตอดเล็กตอดน้อย ปรัลดเล็กๆน้อยเท่านั้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า การแปรญัตติกลับเข้ามาของรัฐบาล ถึงแม้จะพยายามปรับลดในส่วนของเงินลงทุนเช่น ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเป็นงบก้อนใหญ่ ที่เราปรับลดถึง 1 ใน 3 เป็นงบสร้างตึก การจัดถนนต่างไที่ไม่จำเป็น แต่กลับพบรัฐบาลแปรญัตติเข้ามาไม่ได้เปลี่ยนการจัดสรรงบลงทุนเป็นการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศแต่อย่างใด เรายังเห็นการจัดสรรงบฯที่ขาดความรอบคอบ มีการแปรญัตติกลับเข้ามาไปลงในส่วนรายจ่ายผระจำอื่นๆ เช่นเงินเดือนบุคคลกรที่อยู่ในองค์กรอิสระ และองค์กรมหาชนอื่นๆ เช่นค่าประกันสุขภมพขององค์กรอิสระ เป็นต้น รายจ่ายต่างๆเหล่านี้ควรตั้งมาเต็มจำนวนตั้งแต่ร่างพ.ร.บ.วาระ1 ไม่ควรแปรญัตติกลับเข้ามาในวาระ2 แบบนี้ แปลว่าตอนวาระ1รัฐบาลไม่ได้รอบคอบเลย
“งบลงทุนก็ยังน่าผิดหวัง เพราะงบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศ น่าตายังคงเหมือนเดิม เป็นงบสร้างตุก ตัดถนน ขุดคลอง สิ่งที่เราอยากเห็น คืออยากเห็นรัฐบาลโยกงบไปลงทุนถูกจุด แต่ก็ยังเห็นไม่ตรงจุดอยู่ดี และไม่ตอบโจทย์การรับมือกับวิกฤติและสงคราม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งสงครามชายแดนและสงครามการเมือง การที่ร่าง พ.ร.บ.ฯ ไม่ตอบโจทย์ประเทศเกิดจากกระบวนการที่หูหนวกไม่ยอมฟังเสียงสภาฯแลย สส.เป็นเพียงแค่ตรายางตราประทับเท่านั้น ตาบอดโดยไม่มีความโปร่งใส ไม่พิจารณางบประมาณที่มีความจำเป็นกับประชาชนและภาวะของประเทศ ขาดเข็มทิศสะเปะสะปะ ไว้ทิศทางต่างคนต่างทำ ไร้แผนที่ ทั้งที่รัฐบาลมีอำนาจฝ่ายบริหารสามาระแก้ไขได้ แต่ท่านไม่ลงมือแก้ไข สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ผมพูดมาถ้าผมมีอำนาจในฝ่ายบริหารขอยืนยันว่าเราสามารถแก้ได้เกือบทุกเรื่องเพื่อให้งบประมาณฟังเสียงสภามากขึ้นประชาชนมองเห็นไส้ในงบประมาณมากขึ้นมีทิศทางมากขึ้นแล้วเราเห็นสุขภาพทางการคลังภาพรวมของประเทศมากยิ่งขึ้น” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกปัญหาที่บอกไป ถ้าเราไม่ปฏิรูประบบงบประมาณ ที่ฝ่ายบริหารสามารถลงมือทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย หากไม่ปฏิรูปไม่มีวันที่เราจะเห็นเงินในทุกๆ กระเป๋าที่รัฐถืออยู่ ไม่มีทางจะสามารถบูรณาการการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเหล่านั้นไม่พุ่งเป้าและตรงจุดมากขึ้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจไทยเวลานี้ต้องการเม็ดเงินลงทุนใหม่ ที่สร้างความเติบโตให้กับประเทศในอนาคต ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับผู้ได้รับสัมปทานบางกลุ่มเท่านั้น เงินลงทุนนั้นควรสะท้อนอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เหล่านั้น เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นและเห็นโอกาส ความเชื่อมั่นมาจากเสถียรภาพทางการเมือง และความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การมองเห็นโอกาส หากรัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ดีพอ จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพตรงกัน สิ่งที่อยากเห็นในงบลงทุน เช่น นำไปปลูกป่าเศรษฐกิจ ลดคาร์บอน ต่อยอดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างไบโอแมททีเรียล ถือธงนำให้เอกชนพัฒนาเมือง ปลูกโซลาร์บนหลังคาประชาชน เปลี่ยนโครงสร้างพลังงานเป็นพลังงานสะอาด และให้รัฐบาลร่วมลงทุน ทำให้ประชาชนลดค่าไฟด้วย นอกจากนั้นคือ การลงทุนปลูกข้าวยั่งยืน ข้าวรักษ์โลก เปลี่ยนกระบวนการปลูกข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ประกาศเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วเอกชนจะมาร่วมลงทุน.-314.-สำนักข่าวไทย