พรรคประชาชน ชี้ 20 บาท อุ้มทุน ชู ตั๋วร่วม แก้ปัญหาโครงสร้าง
ในขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งมีกำหนดเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ประเด็นค่าโดยสารขนส่งสาธารณะก็ได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงสำคัญในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนได้แสดงจุดยืนที่แตกต่างออกไป โดยเห็นด้วยว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบันมีราคาสูงเกินไปและควรได้รับการปรับลดเพื่อบรรเทาภาระของประชาชน แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพรรคเพื่อไทยที่ใช้เงินงบประมาณจำนวนมากเพื่ออุดหนุนนายทุน บทความนี้จะเจาะลึกถึงข้อเสนอและวิสัยทัศน์ของพรรคประชาชนที่มุ่งแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด "ขนส่งสาธารณะเพื่อทุกคน"
การวิพากษ์นโยบาย 20 บาทตลอดสายของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชนได้แสดงความกังวลและไม่เห็นด้วยกับวิธีการดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของพรรคเพื่อไทย โดยมีเหตุผลดังนี้
การอุดหนุนนายทุนโดยไร้ฐานคิด: พรรคประชาชนชี้ว่าการใช้วิธีนำเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศไปอุดหนุนนายทุนรถไฟฟ้าโดยที่รัฐบาลไม่ทราบต้นทุนของรถไฟฟ้าแต่ละสายที่แท้จริง เป็นการกำหนดราคาขึ้นมาลอยๆ
ผลกระทบที่สำคัญ
เงินอุดหนุนจำนวนมากเข้ากระเป๋านายทุน: นโยบายนี้ทำให้รัฐต้องทุ่มเงินอุดหนุนจำนวนมหาศาล ซึ่งสุดท้ายแล้วเงินจำนวนนี้กลับเข้ากระเป๋านายทุนรถไฟฟ้าโดยตรง
นโยบายที่ไม่รอบด้าน: เป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่กลับละเลยผู้ใช้รถเมล์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความยากลำบากและมีรายได้ต่ำกว่าผู้ใช้รถไฟฟ้า
ขาดความยั่งยืน: นโยบายนี้ไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย ทำให้ต้องลุ้นกันปีต่อปีว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะสานต่อหรือไม่
ข้อเสนอของพรรคประชาชน
"ค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท รวมระบบรถไฟฟ้าและรถเมล์" พรรคประชาชนได้เสนอทางออกที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างผ่าน "ค่าโดยสารร่วม" (Common Fare) ในราคา 8-45 บาท ซึ่งจะครอบคลุมทั้งระบบรถไฟฟ้าและระบบรถเมล์ ข้อเสนอนี้กำลังผลักดันผ่าน ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ที่เสนอโดย สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านคณะกรรมาธิการแล้ว และกำลังรอเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระที่ 2
ข้อดีของ "ค่าโดยสารร่วม"
ลดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน: ผู้เดินทางจะไม่ต้องจ่าย 'ค่าแรกเข้า' ซ้ำซ้อนเมื่อเปลี่ยนสายหรือเปลี่ยนระบบขนส่ง
เดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ: ประชาชนสามารถเดินทางข้ามสายหรือข้ามระบบได้อย่างสะดวก เช่น ขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 5 สถานี ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 5 สถานี และต่อด้วยรถเมล์จนถึงจุดหมาย โดยทั้งหมดนี้ราคาจะไม่เกิน 45 บาท
◦ "ตั๋วร่วม" (Common Ticket): หากร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมผ่านสภา จะมี "ตั๋วร่วม" หรือตั๋วใบเดียวที่สามารถใช้ได้กับขนส่งสาธารณะทุกประเภท เพื่อความสะดวกสบาย โดยประชาชนไม่ต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันให้ยุ่งยาก ซี่งเป็นแนวคิดเดียวกับบัตร Oyster ในลอนดอน, EZ-Link ในสิงคโปร์ และ Octopus ในฮ่องกง
ที่มาของราคา 8-45 บาท
พรรคประชาชนได้กำหนดราคานี้บนพื้นฐานของสัญญาและสัมปทานที่ผูกพันกับรัฐในปัจจุบัน โดยคำนวณตามจำนวนเที่ยว (8-25 บาทสำหรับรถเมล์ และ 15-45 บาทสำหรับรถไฟฟ้า)
ช่วยผู้ที่เดินทางหลายเที่ยว: ข้อเสนอนี้จะช่วยผู้ที่ต้องเดินทางหลายเที่ยวโดยกำหนดเพดานค่าโดยสารสูงสุดที่ 45 บาท ซึ่งเสมือนกับการเดินทางเพียงเที่ยวเดียว ไม่ว่าผู้เดินทางจะต้องขึ้นรถไฟฟ้าหลายสาย หรือต่อรถเมล์หลายต่อก็ตาม
การอุดหนุนของรัฐในนโยบายพรรคประชาชน
รัฐยังคงอุดหนุน แต่ต่างจากพรรคเพื่อไทย: พรรคประชาชนระบุว่ารัฐจะมีการอุดหนุนเช่นกัน แต่แตกต่างจากพรรคเพื่อไทยที่อุดหนุนโดยตรงไปยังนายทุนใหญ่ของรถไฟฟ้า
วงเงินและเป้าหมายการอุดหนุน: นโยบายนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี โดยเงินอุดหนุนส่วนใหญ่จะนำไปช่วย ระบบรถเมล์ ซึ่งมีฐานผู้ใช้ที่มีรายได้น้อยกว่าผู้ใช้รถไฟฟ้า
ไม่เอื้อประโยชน์นายทุนรถไฟฟ้า: ในส่วนของรถไฟฟ้า การอุดหนุนจะอิงอยู่บนฐานของสัมปทานเดิม (15-45 บาท) โดยจะช่วยอุดหนุนค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน ซึ่งพรรคประชาชนมองว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐไทยในอดีตที่มองปัญหาแบบแยกส่วน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
วิสัยทัศน์และหลักการของพรรคประชาชน พรรคประชาชนเชื่อมั่นว่านโยบาย "ค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท รวมระบบรถไฟฟ้าและระบบรถเมล์" ได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่โครงสร้างอย่างรอบด้าน เพื่อประโยชน์ของผู้โดยสารทุกกลุ่ม ภายใต้แนวคิด #ขนส่งสาธารณะเพื่อทุกคน
การจัดสรรทรัพยากรอย่างจำกัด: นโยบายนี้มุ่งจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อช่วยกลุ่มคนที่เดือดร้อนอย่างแท้จริงให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด
หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า: เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ใช่แค่การปะผุ หรือโปรยเงินให้เหลือ 20 บาท ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการเประเคนผลประโยชน์ให้กับนายทุนรถไฟฟ้าที่มีความสนิทสนมกับรัฐบาล
ความเชื่อมั่นในความยั่งยืน: พรรคประชาชนเชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ได้มีแค่รถไฟฟ้า ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย มีค่าโดยสารที่เป็นธรรม และใช้เงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศอย่างสมเหตุสมผลและยั่งยืน
พรรคประชาชนได้นำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจและแตกต่างจากนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ด้วยข้อเสนอ "ค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท" และการผลักดัน "ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม"
จุดยืนหลักของพวกเขาคือการแก้ไขปัญหาค่าโดยสารแพงด้วยวิธีการที่ไม่เอื้อประโยชน์นายทุน แต่เน้นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะผู้ใช้บริการรถเมล์ และแก้ไขปัญหาค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนจากโครงสร้างสัมปทานในอดีต พรรคประชาชนมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่ ครอบคลุม เข้าถึงได้ สะดวกสบาย เป็นธรรม และยั่งยืน สำหรับประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
อ้างอิง