โอกาสครั้งสำคัญของ “มาร์คัส แรชฟอร์ด”
การเปิดตัวของ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับต้นสังกัดใหม่อย่าง บาร์เซโลนา ไม่ได้อลังการ หรือหวือหวาเหมือนนักเตะระดับซุเปอร์สตาร์คนอื่น ๆ โดยทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยการที่เจ้าตัวพูดผ่านคลิปวิดิโอสั้น ๆ ว่า “วิสกา เอล บาร์ซา” ซึ่งหมายความว่า “บาร์ซา จงเจริญ” พร้อมกับชูเสื้อเบอร์ 14
กองหน้าทีมชาติอังกฤษ วัย 27 ปี ย้ายจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาเล่นกับ บาร์เซโลนา ด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งฤดูกาล พร้อมเงื่อนไขซื้อขาด 26 ล้านปอนด์ ในปีหน้า และการเซ็นสัญญาครั้งนี้ทาง “เจ้าบุญทุ่ม” บอกสื่อมวลชนล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นขณะที่บุคคลสำคัญอาทิ โจน ลาปอร์ตา ประธานสโมสร, ราฟา ยูสเต รองประธานฯ หรือแม้แต่ เดโก ผู้อำนวยการฟุตบอล ก็ไม่ได้เข้าร่วมแถลงข่าวแต่อย่างใด
การย้ายมายังถิ่น คัมป์ นู ครั้งนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ แรชฟอร์ด รอคอยมาตลอด เนื่องจากต้องการฟื้นฟูเส้นทางอาชีพของตัวเองกลับมาอีกครั้ง หลังต้องเผชิญกับความยากลำบากตลอดหลายปีที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และดูเหมือนว่า เจ้าตัวคงไม่มีอนาคตกับ “ปีศาจแดง” อีกแล้ว
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2022-2023 แรชฟอร์ด เคยได้รับการยกย่องว่า เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลยุโรป หลังจากยิงไปถึง 30 ประตู จาก 56 เกมให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ปัญหาเรื่องพฤติกรรมนอกสนาม ทัศนคติ และความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับทั้งอดีตโค้ชอย่าง เอริก เทน ฮาก และ รูเบน อาโมริม กุนซือคนปัจจุบัน ทำให้เขาไม่ได้อยู่ในฟอร์มเดิมอีกเลย
อย่างไรก็ตาม สำหรับ แรชฟอร์ด การย้ายมาร่วมทีม บาร์เซโลนา มันเป็นความฝันที่เจ้าตัวไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เขาเกือบจะย้ายมาเล่นกับ “เจ้าบุญทุ่ม” อยู่แล้ว แต่การเจรจาล้มเหลว จึงทำให้ต้องย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับ แอสตัน วิลลา
ขณะเดียวกัน ถือเป็นโชคชะตาของ แรชฟอร์ด เช่นกัน โดยก่อนหน้านี้ บาร์เซโลนา มีสองเป้าหมายหลักที่จะคว้าตัวมาเสริมแนวรุกคือ นิโก วิลเลียมส์ ของ แอตเลติก บิลเบา และ หลุยส์ ดิอาซ ของ ลิเวอร์พูล แต่การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จทั้งคู่ จึงทำให้ “เจ้าบุญทุ่ม” ต้องหันมาปิดดีลกับ แรชฟอร์ด แทน
การมาของ แรชฟอร์ด จะช่วยให้ ฮานซี ฟลิค เทรนเนอร์ บาร์เซโลนา มีทางเลือกในการจัดทีมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก เขาสามารถเล่นได้หลายบทบาททั้งกองหน้าตัวเป้า กองหน้าตัวต่ำ และตัวริมเส้นทั้งสองฝั่ง ซึ่งพร้อมจะหมุนเวียนกับนักเตะแนวรุกคนอื่น ๆ อาทิ ลามีน ยามาล, ราฟินญา และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี
นอกจากนี้ แรชฟอร์ด ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง และความกระหายที่จะย้ายมายัง บาร์เซโลนา หลังยอมลดค่าเหนื่อยของตัวเอง 15% ซึ่งหากเขาโชว์ฟอร์มได้ดีเหมือนกับเมื่อสองปีที่แล้วก็ถือว่า เป็นการทำธุรกิจที่สุดคุ้มของ “เจ้าบุญทุ่ม” และ แรชฟอร์ด เองก็จะได้กลับมายืนอยู่ในจุดที่สูงสุดอีกครั้ง
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก : FC Barcelona