‘ศิริกัญญา’ หวังภาษีทรัมป์ไม่เกิน 20%ไม่กล้าฝันเท่าญี่ปุ่น 15%
'ไหม' หวัง 'ภาษีทรัมป์' จบที่ไม่เกิน 20% ใกล้เคียงกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนะหากเปิดเสรีข้าวโพดให้ 'สหรัฐ' ก็ควรเร่งเตือนเกษตรกรทันที ชี้เปิด 152 เรื่องเดียวเสียของ เตือน 'ภท.' ควรเก็บกระสุนไว้
23 ก.ค.2568 - น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา ที่รัฐบาลจะส่งข้อเสนอให้สหรัฐรอบสุดท้ายในวันนี้ ว่า เวลาเหลือน้อยลงมาเรื่อย ๆ แต่เรายังคงแก้ไขข้อเสนอกลับไปกลับมากับสหรัฐอยู่ เช้าวันนี้มีหลายประเทศที่บรรลุข้อตกลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เกรดเดียวกับอินโดนีเซียที่ 19% หรือจะเป็นญี่ปุ่นที่ได้ 15%
“วันนี้สำหรับเราต้องรอไฟนอล บีบหัวใจของคนไทนทุกคนว่า สุดท้ายจะโดนอัตราภาษีที่เท่าไหร่ และจำเป็นต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากขนาดไหน การเจรจาครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อลดอัตราภาษีอย่างเดียว เพราะหากจำได้ ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่เดือน เม.ย. ได้ 17% แต่พอต้นเดือน ก.ค. ขึ้นเป็น 20% พอปิดดีลจบที่ 19% ก็ยังเพิ่มขึ้นจากที่ประกาศในครั้งแรก ดังนั้น เมื่อดูจากอัตราภาษีหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับที่ 19-20% ก็พอจะคาดเดาได้ว่าประเทศไทยน่าจะใกล้ๆ กัน คงไม่ลดลงไปถึงญี่ปุ่น ที่ 15% แต่ต้องแลกกับการนำเงินไปลงทุนในสหรัฐ 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”
เมื่อถามถึงกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คาดการณ์ไว้จะไม่เกิน 20% เป็นไปได้หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า มีแนวโน้มที่จะจบไม่ถึง 20% ได้ ถ้าดูตัวอย่างจากอินโดนีเซีย เพราะทางอินโดนีเซีย ก็มีการเปิดเผยเงื่อนไขที่ให้ไปกับสหรัฐฯ เช่น การยกเลิกการจัดเก็บภาษีดิจิทัลในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ และข้อตกลงในการส่งออกแร่สำคัญ รวมถึงยอมรับมาตรฐานรถยนต์ของสหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็ต้องรอฟังคำตอบจากนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนเดียว
“เวลาที่เจรจา ก็เป็นแบบหนึ่ง แต่พอประกาศออกมา ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เราก็ทำได้แค่ส่งใจช่วย ให้ประเทศไทยเอง ยืนหลักการหนักแน่น ไม่นำสินค้าเกษตรไปแลกมากจนเกินไป ทั้งที่ไม่มีการเตรียมมาตรการเยียวยา ให้กับเกษตรกร ที่ถูกนำสินค้าตัวเอง ไปขึ้นโต๊ะเจรจา ไม่เช่นนั้น เราจะทำให้ผู้ที่เสียประโยชน์ แม้จะน้อยนิด เมื่อเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เราได้มา แต่จำนวนคนที่จะได้รับผลกระทบมีค่อนข้างมาก”
น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เรามีเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 400,000 ราย ก็คาดว่า น่าจะได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างและลึก จึงต้องดูว่าเวลาเปิด เปิดฟรีเลยหรือไม่ หรือจะเป็นการจำกัดโควตาเข้ามา ซึ่งหากมีการเปิดเสรี สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ เตือนผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตอนนี้ได้แล้วว่า ให้เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ถ้าเราเอาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไปเปิดเสรีให้กับสหรัฐฯ ทั้งหมด ไม่เช่นนั้น เราจะไม่สามารถแข่งขันได้ ตนได้ข่าวว่า บริษัทผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของประเทศ หยุดรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรเรียบร้อยแล้ว แม้จะมีการประกันราคาที่ 7 บาท แต่ก็ไม่รับซื้อ ดังนั้น เกษตรกรกำลังกังวลกับอนาคตของตัวเองอยู่
“ส่วนเรื่องการสวมสิทธิ์สินค้าจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ ถ้าเป็นสินค้าที่เราตรวจจับง่ายๆ แค่เข้ามาผ่านทางแล้วออกไป เราก็ไม่ยอมให้เขามานุ่งโจงกระเบน แล้วตีตราว่าเป็นสินค้าไทยอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะสหรัฐฯ เองอาจจะตั้งเกณฑ์ ต้องเป็นวัตถุดิบที่ผลิตในไทย ทำให้เราไม่สามารถใช้วัตถุดิบที่ผลิตจากประเทศจีนได้เลย ซึ่งเป็นความซับซ้อนและยุ่งยาก เพราะสหรัฐฯ ต้องการที่จะตัดห่วงโซ่อุปทานที่ไทยมีกับประเทศจีนอย่างเหนียวแน่น เป็นการตรวจเข้มมากขึ้นว่า สินค้าใดใช้วัตถุดิบจากประเทศจีน เรื่องของการสวมสิทธิ์ปกติ เพราะหากตรวจเข้มข้นขนาดนี้ เราก็ไม่มั่นใจว่ากระทบเศรษฐกิจมากหรือไม่”
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยเสนอให้เปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 เพื่อเสนอ แนะการแก้ไขปัญหาภาษีสหรัฐ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า กำลังพูดคุยภายในวิปฝ่ายค้าน ถ้ามีการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ เรื่องภาษีทรัมป์ สามารถทำได้ แต่สำหรับพรรคประชาชนที่อภิปราย 152 มาหลายปี มองว่าควรจะต้องมีเรื่องประเด็นที่ค่อนข้างกว้างมากกว่านี้เพื่อจะได้สอบถามกับคณะรัฐมนตรี และให้ข้อคิดเห็นในครั้งเดียวกัน นอกเหนือจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ไม่สามารถใช้ได้บ่อย ควรเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามที่จำเป็น หากเกิดมีการเจรจาพูดคุยระหว่างวิปฝ่ายค้านแล้วมีหลากหลายเรื่องมากกว่าเรื่องภาษีสหรัฐฯ ก็อาจจะจบลงที่การเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องภาษีสหรัฐอย่างเดียว เป็นญัตติด่วนด้วยวาจา ก็น่าจะเพียงพอ