ชัวร์ก่อนแชร์ CHECK-LIST : 5 เรื่องฮิต สารพัดคำเตือนสิ่งที่เด็กห้ามทำ จริงหรือ ?
บทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI) โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ
2 กรกฎาคม 2568
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนโลกโซเชียล ผู้ปกครองหลายท่านอาจเคยได้รับคำเตือนต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน พฤติกรรม หรือพัฒนาการ ซึ่งบางครั้งก็สร้างความสับสนและวิตกกังวลไม่น้อย บทความนี้จะพาทุกท่านไปตรวจสอบ 5 คำเตือนยอดฮิตที่มักแชร์กันบนโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ “ชัวร์ก่อนแชร์” และดูแลลูกรักได้อย่างมั่นใจ
1. “การติดจอทำให้เด็กเป็นออทิสติก”จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ต่อได้
แม้การติดจอจะไม่ใช่ “สาเหตุโดยตรง” ที่ทำให้เด็กปกติกลายเป็นออทิสติก แต่ก็เป็น “ปัจจัยเสี่ยง” สำคัญที่ขัดขวางพัฒนาการทางสังคมและการสื่อสารของเด็ก และอาจกระตุ้นอาการในเด็กที่มีแนวโน้มเป็นออทิสติกอยู่แล้ว ทางออกที่ดีที่สุดคือการจำกัดเวลาหน้าจอให้เหมาะสมกับวัย และหันมาใช้เวลากับลูกให้มากขึ้น เพื่อสร้างรากฐานพัฒนาการที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์ให้กับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เด็กที่ติดจออาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่คล้ายกับอาการของออทิสติก เช่น การไม่สบตา ไม่สนใจผู้อื่น หรือมีปัญหาด้านการสื่อสาร ซึ่งเรียกว่า “ภาวะออทิสติกเทียม” ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถดีขึ้นได้หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้หน้าจอและเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
2. “เล่นมือถือนาน ๆ เสี่ยงประสาทตาอักเสบ” จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : ไม่จริง ไม่ควรแชร์ต่อ
ภาวะเส้นประสาทตาอักเสบ (Optic Neuritis) นั้นมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค ไม่มีความเชื่อมโยงกับการใช้สายตาจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟนแต่อย่างใด ส่วนอาการตาแดงที่อาจพบได้ในเด็กที่เล่นมือถือนานๆ มักเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบหรืออาการตาแห้งจากการขยี้ตามากกว่า
ทั้งนี้ การปล่อยให้เด็กเล็กอยู่กับหน้าจอสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลเสียต่อพัฒนาการหลายด้าน ทั้งด้านสายตาที่อาจเกิดภาวะตาล้าหรือสายตาสั้นก่อนวัย และที่สำคัญคือส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ และทักษะการเข้าสังคม เนื่องจากเด็กจะขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่โรคประสาทตาอักเสบไม่ได้เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่เกิดจากการติดเชื้อหรือยาบางชนิด อย่างไรก็ตาม ควรให้เด็กพักสายตาเป็นระยะและไม่เล่นในที่มืด
3. “เขย่าลูก”อันตราย จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ นายแพทย์กุลเสฏฐ ศักดิ์พิชัยสกุล กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์-งานประสาทวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ต่อได้
“การเขย่าลูก” ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม คือการกระทำที่อันตรายอย่างยิ่ง การเขย่าตัวทารกอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะด้วยความโมโหหรือเล่นสนุก อาจส่งผลให้เกิด “ภาวะทารกถูกเขย่า” (Shaken Baby Syndrome) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะวัยต่ำกว่า 2 ขวบ กล้ามเนื้อคอยังพัฒนาไม่แข็งแรงพอที่จะประคองศีรษะซึ่งมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับลำตัวได้ เมื่อถูกเขย่า ศีรษะจะสะบัดไปมาอย่างรุนแรง ทำให้เนื้อสมองที่บอบบางเกิดการกระแทกกับกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้หลอดเลือดในสมองฉีกขาดและเกิดภาวะเลือดออกในสมอง ส่งผลให้เกิดความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้
4. คำเตือน “ห้ามให้เด็กนอนคว่ำ”จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ นพ.ฉัตรชัย ธำรงอาจริยกุล อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ต่อได้
การจัดท่าให้ทารกนอนคว่ำเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิด “ภาวะไหลตายในทารก” (Sudden Infant Death Syndrome – SIDS) เนื่องจากใบหน้าของทารกอาจไปซบกับที่นอน หมอน หรือผ้าห่ม จนอุดกั้นทางเดินหายใจ อาจทำให้ทารกขาดอากาศหายใจได้ ท่านอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทารกคือท่านอนหงาย และควรนอนบนที่นอนที่แข็งพอดี ไม่มีหมอนหรือตุ๊กตาที่อาจอุดกั้นทางเดินหายใจ
5. “ป้อนกล้วยเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน” อันตราย จริงหรือ ?
ตรวจสอบกับ รศ. (พิเศษ) พญ.สุนทรี รัตนชูเอก งานโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ : จริง แชร์ได้
ทารกต่ำกว่า 6 เดือนยังมีพัฒนาการการกลืนและการขบเคี้ยวที่ไม่สมบูรณ์ การป้อนอาหารที่มีเนื้อหยาบอาจทำให้เกิดการสำลักและอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย แต่ไม่ใช่กล้วยเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ยังรวมถึงอาหารทุกอย่างที่นอกเหนือจากนมแม่ ก็ไม่ควรจะเริ่มก่อนอายุ 6 เดือน ยกเว้นกรณีที่นมแม่ไม่เพียงพอ แล้วเด็กเริ่มมีการเติบโตที่ผิดปกติ ก็จำเป็นจะต้องเริ่มอาหารตามวัยเร็วขึ้น แต่ก็ไม่เร็วกว่า 4 เดือน
บทสรุป
โดยสรุปแล้ว คำเตือนต่าง ๆ ที่แชร์กันในโลกออนไลน์นั้นมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่ต้องตรวจสอบก่อนจะเชื่อและแชร์ต่อ ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น กุมารแพทย์ เพื่อให้การเลี้ยงดูบุตรหลานเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์, ณัฐพล จิตรมั่น, พงศ์อิทธิ์ เชิดชูวงศ์
ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส
ติดตามชัวร์ก่อนแชร์ CHECK-LIST : 5 เรื่องฮิต สารพัดคำเตือนสิ่งที่เด็กห้ามทำจริงหรือ ?