วิเคราะห์ “ยกเลิกก่อนใช้”ไม่ส่งตร.ปราบจลาจลไปปราสาทตาเมือนธมแล้ว
กรณีที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาชี้แจงว่า การเตรียมใช้กำลังตำรวจปราบจลาจลในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม เพราะมีข่าวว่าจะมีการขนมวลชนจากฝั่งกัมพูชามา 23 คันรถเมื่อวันที่ 20 ก.ค. แต่สุดท้ายไม่ได้มาจริง
นี่คือภาวะ นโยบายความมั่นคงแบบ “โยนหินถามทาง” — ไม่ได้คิดเผื่อกรณีเลวร้าย (worst-case scenario) หรือสร้างกรอบมาตรการที่สม่ำเสมอและปรับได้ตามระดับภัยคุกคาม กลับเป็นแค่ “ตั้งรับตามข่าวลือ” และ “ถอยเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
—————
เมื่อรัฐตามโซเชียล…แทนที่จะตั้งรับด้วยข่าวกรอง
คำสารภาพตรง ๆ ของ พล.อ.ณัฐพล ที่ว่า
“ผมติดตามผ่านโซเชียล จนค่อนข้างเครียด”
เป็นสิ่งที่สะท้อนจุดอ่อนของการบริหารความมั่นคงในยุคปัจจุบันอย่างเจ็บลึก — แทนที่จะใช้ข้อมูลข่าวกรอง, การประเมินเชิงระบบ, หรือการประสานเชิงทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน กลับต้อง ใช้โซเชียลเป็นแหล่งเฝ้าระวัง ทั้งที่ประเด็นที่เกิดขึ้นคือความเสี่ยงต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งรัฐ
—————
ไทยยังไม่มี “กลยุทธ์ชายแดน” ที่ชัดเจน
ความไม่ชัดเจนในการใช้กำลัง ย้ำให้เห็นว่าไทยยังขาด “ยุทธศาสตร์ชายแดน” ที่มีทั้งเชิงป้องปราม (deterrence) และเชิงประสานสัมพันธ์ (cooperation) ในระยะยาว
ขณะที่กัมพูชาใช้โซเชียลปลุกระดมประชาชน – ส่งมวลชนสร้างภาพทางสื่อ – และดันประเด็นเชิงสัญลักษณ์ (เคลมพื้นที่-ภาษาบนศิลาจารึก) อย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยกลับออกมาตรการเป็นครั้งคราว ใช้แล้วเลิก ไม่มีกรอบนโยบายที่สอดคล้องกันระหว่างฝ่ายทหาร ฝ่ายการเมือง และฝ่ายการทูต
——————
ปัญหาจริงคือ “เราตั้งรับบนพื้นที่ของตัวเอง?”
หากอ่านระหว่างบรรทัด คำว่า
“เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดการใช้อาวุธและเกิดความสูญเสีย เรื่องจะบานปลายเกินที่จะควบคุม”
คือคำสารภาพว่าหากเกิดเหตุรุนแรง ไทยอาจควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ — ทั้งที่ควรเป็นฝ่ายกำหนดกติกาในพื้นที่ของตัวเอง แต่กลับแสดงออกเหมือน “รัฐที่หวั่นไหวกับเกมของเพื่อนบ้าน”
ถ้าเราไม่กล้าวางหลักเอง — เราก็จะถูกลากไปเล่นในกระดานของคนอื่นเสมอ