ของฟรีไม่มีในโลก! ไทยได้ดีลภาษีสหรัฐฯอัตรา 19% ยอมนำเข้าสินค้า 0% หลายรายการ
ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ( 1 ส.ค.68) ผันผวนอย่างมาก โดยเปิดการซื้อขายในแดนบวก ก่อนจะทิ้งดิ่งในแดนลบ แม้สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยไว้ที่ 19%ถือว่าใกล้เคียงกับที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ และอัตราภาษีเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา
ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คลังเผยไทยได้ให้สิทธิ์สินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐหลายรายการในระดับ 0% โดยแบ่งสินค้าที่พิจารณาดังนี้ 1.รายการสินค้าบางส่วนที่เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ เช่น ปลานิล และ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไทยได้ขอเวลาภายใน 5 ปี
2. สินค้าที่ไทยผลิตไม่ได้จะเริ่มนำเข้ามาทันทีด้วยกำแพงภาษี 0% โดยย้ำว่าสินค้าหลายรายการที่อนุญาตให้ส่งมายังไทย สหรัฐเองไม่สามารถผลิตได้
3.เนื้อหมูยังจำกัดการนำเข้าในระดับต่ำ (ประมาณ1%) เพื่อลดผลกระทบกับเศรษฐกิจในประเทศ และ 4.สินค้าที่สวมสิทธิ์ จะกวดขันในส่วนของการออก Certificate of Origin เพื่อแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทย
ดังนั้นปรับกลยุทธ์การลงทุนรับภาษี 19% โดยทางฝ่ายมองกลุ่มหุ้น อุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์ คือ 1.กลุ่มเนื้อหมู ไก่ ที่ได้รับประโยชน์ทั้งในส่วนของอุปทานหมูที่จำกัด และ ต้นทุนการผลิตที่ลดลงจากการนำเข้าข้าวโพด มองเป็นบวกต่อ CPF TFG BTG และ GFPT
2.กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น WHA AMATA และ ROJNA ที่รับประโยชน์จากการที่กำแพงภาษีของ พม่า และ ลาว อยู่ที่ 40% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยจะมากกว่าโดยเปรียบเทียบ ขณะที่ฝีมือแรงงานของไทยค่อนข้างมีฝีมือในการผลิต หากไม่ย้ายฐานจากไทย จะประหยัดต้นทุนในการฝึกฝนแรงงาน และตั้งฐานการผลิตใหม่ ช่วยสร้างแรงจูงใจในการคงฐานการผลิตในไทย
3.กลุ่มยางพารา ที่ไทยโดนเก็บภาษี 19% เท่ากับคู่แข่งในตลาดยางอย่าง อินโดนีเซีย และยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม มองเป็นบวกต่อ STA STGT TRUBB และ NER
4.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ โดยรมต.คลังย้ำว่าสหรัฐยินดีรับซื้อสินค้าอิเล็กฯจากไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในสินค้าที่สนับสนุนอุตสาหกรรม Cloud และ AI มองยังเป็นบวกต่อ DELTA HANA และ KCE
แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ภาษี Tariff ของ ไทยที่ออกมา 19% นี้ ถือว่าใกล้เคียงกับที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นผลกระทบในแง่ของดัชนี SET อาจมีไม่มากนักหรืออาจเห็นปรากฏการณ์ Sell on fact บ้างในระยะสั้น