คลัง-ศุลกากร คุมเข้มสินค้าสวมสิทธิ์สหรัฐฯ จับตาโซลาเซลล์
คลัง-ศุลกากร คุมเข้มตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์ หลังไทย-สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้า 19% และกำลังเจรจาเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยสหรัฐฯ ส่งรายการสินค้าเฝ้าระวัง 65 รายการให้ไทยช่วยตรวจสอบ จับตา โซลาเซลล์ คาดสรุปเกณฑ์ RVC ที่ 50%
4 ส.ค. 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ เพื่อให้ไทยและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) หลังจากที่ไทยและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงด้านภาษีนำเข้าที่ 19% เรียบร้อยแล้ว
โดยส่วนของข้อตกลงทางภาษีจะมีการดำเนินการเพื่อนำเรื่องเข้าสภาฯ อีกครั้งหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ได้เห็นชอบในเห็นชอบข้อตกลงร่วมของไทย-สหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่ากระบวนการทางสภาฯ จะไม่มีปัญหา
“การสวมสิทธิ์เป็นการกระทำผิดที่เราต้องเข้มงวดอยู่แล้ว ซึ่งในครั้งนี้ก็ต้องมีการเข้มงวดให้มากยิ่งขึ้น”
ส่วนข้อตกลงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไม่มองในมิติเดียวเนื่องจากข้อตกลงเรื่องภาษีจะทำให้มีการค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ไทยจะเสียเปรียบเรื่องภาษีอย่างเดียว
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากนี้ไทยจะต้องมีการหารือกับสหรัฐฯ ในเรื่องของการกำหนดสัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค Regional Value Content: RVC) อีกครั้ง โดยคาดว่าจะต้องมีสัดส่วนประมาณ 50% ซึ่งสัดส่วน RVC เป็นการรวมสัดส่วนการผลิตกับประเทศที่เป็นพันธมิตรของไทยโดยไม่รวมจีนเนื่องจากยังไม่บรรลุเรื่องข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า แนวทางการกำกับดูแลสินค้าสวมสิทธิ์ หรือสินค้าผ่านทาง (Transshipment) กรมศุลกากรจะมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกระบวนการตรวจจับ (Monitor) และกำกับดูแลให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาหลักคือการกำกับดูแลยังไม่เข้มข้นพอเนื่องจากเน้นการอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดการลงทุน
ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วการกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ในการเจรจาการค้ามักจะใช้เกณฑ์ที่ไม่ต่ำกว่า 40% ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังสามารถรวม Regional Content หรือที่มาจากห่วงโซ่อุปทานในกลุ่มประเทศอาเซียนนับเป็น Local Content ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์เหล่านี้สามารถยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างประเทศคู่ภาคี โดยถือเป็นหลักการพื้นฐานในการได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงการค้า
นายธีรัชย์ เปิดเผยว่า ทางสหรัฐฯ ได้ส่งรายการสินค้าเฝ้าระวังที่สหรัฐมีความกังวลว่าสินค้าเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงในเรื่องการสวมสิทธิ์ ผ่านกรมการค้าต่างประเทศให้ไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบ โดยหน้าที่ของไทยคือการตรวจสอบและทำให้มั่นใจว่าสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่ส่งออกจากประเทศไทยไปสหรัฐฯ นั้น ได้รับการผลิตหรือประกอบในไทยจริง และมีสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศตามที่ตกลงกันไว้
โดยสินค้าที่สหรัฐฯ กำหนดว่าเป็นสินค้าเฝ้าระวังมีทั้งหมด 65 รายการ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างสินค้าที่ถูกจับตาคือ โซลาร์เซลล์ ซึ่งสหรัฐมองว่าอาจมีการนำเข้าจากจีนแล้วนำมาประกอบในไทยเพียงเล็กน้อยก่อนส่งออก
“ประเด็นเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นข้อกังวลสำคัญของสหรัฐฯ และไทยจะต้องมีการกำหนดไทม์ไลน์ที่ชัดเจนในการดำเนินการ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงการค้าอย่างเป็นทางการ คาดว่ารายละเอียดสำคัญรวมถึงไทม์ไลน์ของแต่ละฝ่ายจะถูกระบุไว้ในข้อตกลงฉบับนี้”
นายธีรัชย์ เปิดเผยว่า กรณีข้อตกลงการค้านี้เป็นเพียงเคสที่พิเศษที่ทำกับสหรัฐฯ เท่านั้น รูปแบบความร่วมมือลักษณะนี้ไม่ควรนำไปใช้กับประเทศอื่น เพราะหากเป็นการทำ FTA กับประเทศอื่น ควรยึดหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เป็นสากล