วิเคราะห์ 'หุ้นจีน' โตแรง 17% รายย่อย-รายใหญ่กลัว FOMO โบรกเริ่มแตะเบรก
“ตลาดหุ้นจีน” กำลังฟื้นตัวแรง มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านหยวนและกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในโลก โดยดัชนี CSI 300 เพิ่มขึ้นถึง 17% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน จากการลงทุนจากภายในประเทศ โดยเฉพาะจากเงินออมมหาศาลของนักลงทุนรายย่อยและกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งที่ไหลเข้าสู่ตลาด นอกจากนี้ “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วก็ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
แต่ทว่าการเติบโตนี้สวนทางกับภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและความตึงเครียดทางการค้า “ซึ่งเป็นคำถามสำคัญว่าจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเติบโตต่อไปได้ไกลแค่ไหน” และสัญญาณการลงทุนแบบ FOMO ที่กลัวการตกรถ จะพุ่งแรงถึงขั้นเป็น “ฟองสบู่” หรือไม่ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับนักลงทุน ส่งผลให้โบรกเกอร์และผู้จัดการกองทุนในประเทศบางส่วนต้องเริ่มลดการระดมทุนและจำกัดการซื้อขาย
‘เงินออม’ มหาศาลหนุนตลาดหุ้น
ยูจีน เซียว นักวิเคราะห์หุ้นจาก Macquarie ชี้ว่า การคลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐและจีนช่วยลดความเสี่ยงที่นักลงทุนเคยมองว่ามีอยู่ในตลาดหุ้นจีน และปัจจัยนี้จะช่วย ดึงดูดเงินลงทุนให้ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนได้มากขึ้นในอนาคต
จากข้อมูลของ HSBC ระบุว่ายอดรวมเงินออมของครัวเรือนชาวจีนในปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 160 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 814.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีมูลค่ามากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นสหรัฐทั้งหมด
นักลงทุนรายย่อยชาวจีนเป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 90% ของการซื้อขายรายวัน ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ทั่วโลกอย่างสิ้นเชิง เช่น ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กที่นักลงทุนรายย่อยคิดเป็นเพียงประมาณ 20-25% ของปริมาณการซื้อขายเท่านั้น
ด้านธนาคารโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ชี้ว่า นักลงทุนจีนมีแนวโน้มจะนำเงินจากบัญชีเงินฝากประจำมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงเพราะเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปีของจีนลดลงต่ำกว่า 1% เป็นครั้งแรก
รายงานจาก Global X ETF เมื่อเดือนพ.ย. 2567 เผยให้เห็นว่าสัดส่วนการลงทุนของครัวเรือนชาวจีนมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากประเทศตะวันตก โดยมีตัวเลขดังนี้:
- อสังหาริมทรัพย์: 60%
- เงินฝาก: 25%
- หุ้น: 5% สะท้อนการจัดสรรเงินลงทุนในตลาดหุ้นของครัวเรือนชาวจีนยังถือว่าต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับสหรัฐที่ 25 และยุโรป 12%
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า หากชาวจีนเปลี่ยนใจนำเงินออมส่วนใหญ่มาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ตลาดเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
‘รายใหญ่จีน’ ขยายการลงทุน
นอกจากนักลงทุนรายย่อยแล้ว นักลงทุนรายใหญ่ก็กำลังเข้าสู่ตลาดมากขึ้น บลูมเบิร์กรายงานว่าราคาหุ้นจีนเป็นผลมาจาก “กองทุนเฮดจ์ฟันด์” ในประเทศที่เข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก โดยข้อมูลจาก Shenzhen PaiPaiWang Investment & Management ระบุว่าดัชนีที่ติดตามการลงทุนในหุ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์จีนขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 8% มาอยู่ที่ 82% ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 2 ปี
จากการรายงานของสมาคมการจัดการสินทรัพย์แห่งประเทศจีนระบุว่า จำนวนและขนาดของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่จดทะเบียนใหม่ได้เพิ่มขึ้นสูงสุดในปีนี้ในเดือนก.ค. โดยการขยายตัวของกองทุนเฮดจ์ฟันด์เหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าจับตามองเพราะกองทุนกลุ่มนี้ต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำถึง 1 ล้านหยวน หรือประมาณ 5 ล้านบาท โดยนักลงทุนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะสามารถทนต่อความผันผวนและขาดทุนได้ดีกว่านักลงทุนรายย่อย ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพและราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว
ฟู จื้อเฟิง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Shanghai Chengzhou Investment Management อธิบายว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนส่วนใหญ่มาจากเงินทุนของกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูง (High-Net-Worth Individuals) ในขณะที่เงินออมของครัวเรือนทั่วไปยังคงไหลเข้าตลาดอย่างช้าๆ เหตุผลหลักคือ อัตราดอกเบี้ยในผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ที่มองหาความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สูงขึ้น หันมาลงทุนในหุ้นแทน
สถานการณ์นี้ทำให้นักวิเคราะห์จาก Citic Securities ระบุอีกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้นี้มีแนวโน้มที่จะม่ใช่การฟื้นตัวเพียงช่วงสั้นๆ และมีโอกาสต่ำที่จะขยายตัวจนเกิดเป็นฟองสบู่แต่การเติบโตจะเน้นไปที่กลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันและมีกำไรที่มั่นคง รวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
นักลงทุน FOMO กลัวตกขบวนหุ้นเทค
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดคือกระแส FOMO หรือความกลัวที่จะตกขบวน โดยการซื้อขายหุ้นด้วยเงินกู้กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแตะระดับกว่า 2.1 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 10.7 ล้านล้านบาท ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ย.2558 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเคยอยู่ในภาวะฟองสบู่จากการลงทุนที่มากเกินไป
นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า อัตราส่วนของการซื้อขายมาร์จิ้นใหม่ได้เพิ่มขึ้นเกือบ 12% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดในวันศุกร์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึง ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) ของนักลงทุนที่เริ่มเข้ามาเก็งกำไรในตลาดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะใช้เงินที่กู้ยืมมาเป็นหลัก
เหวินเจี๋ย ติง นักกลยุทธ์การลงทุนจาก China Asset Management กล่าวว่า "นักลงทุนน่าจะคิดว่าหุ้น A-share ของจีนแผ่นดินใหญ่มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามหุ้นฮ่องกงในอนาคตอันใกล้”
ทั้งนี้ เซียวจาก Macquarie มองว่า “ความกลัวที่จะตกขบวน” อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับมาลงทุนในจีนอีกครั้งได้ในระยะสั้น หากตลาดหุ้นจีนเติบโตอย่างโดดเด่นแซงหน้าตลาดโลก และย้ำว่าตลาดหุ้นจีนไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเงินทุนจากต่างชาติเป็นหลัก แต่มาจากนักลงทุนรายย่อยในประเทศมากกว่า
นักลงทุนเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เบนเข็มการลงทุนมายังตลาดนี้มากขึ้นด้วยความน่าสนใจของ “หุ้นเทคโนโลยีจีน” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน ยานยนต์ไฟฟ้า, AI และเซมิคอนดักเตอร์
โบรกเกอร์เริ่มคุมเข้มการลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์ซิโนลิงก์ (Sinolink Securities) ซึ่งเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ ได้ออกมาตรการควบคุมครั้งแรก โดย เพิ่มเงินฝากมาร์จิ้นในสัญญาสินเชื่อสำหรับลูกค้าใหม่บางประเภทกลับไปที่ 100% จากเดิมที่เคยลดลงมาอยู่ที่ 80% ตั้งแต่เดือนก.ย. 2566
ขณะเดียวกันกองทุนรวมในจีนหลายแห่งก็เริ่มจำกัดวงเงินการซื้อรายวัน สำหรับกองทุนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของปีนี้ โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา กองทุน GF Star Growth Index ETF ได้กำหนดวงเงินซื้อสูงสุดต่อวันไว้ที่เพียง 100 หยวน (ประมาณ 14 ดอลลาร์) ซึ่งนับเป็นมาตรการที่เข้มงวดที่สุดเมื่อตลาดพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงจนเสี่ยง “ปรับฐาน”
นักวิเคราะห์จาก มอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า ดัชนี CSI 300 จะแตะระดับ 4,700 จุด ในระยะใกล้ จากการไหลเวียนของเงินทุนจากพันธบัตรและเงินฝากออมทรัพย์กลับเข้ามาในตลาดหุ้น และความคาดหวังว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายนโยบาย
อย่างไรก็ตาม Nomura ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป และความเป็นไปได้ที่จะเกิด "ฟองสบู่" ในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาหุ้นยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มมีสัญญาณที่ชะลอตัวลงก็ตาม
อ้างอิง Bloomberg1, Bloomberg2, cnbc