“มาริษ” พบรองข้าหลวงใหญ่ฯ ยูเอ็น งัดหลักฐาน กัมพูชารุกล้ำอธิปไตย
เจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ – 27 ส.ค. 2568 – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบนางนาดา อัล-นาชิฟ รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN) เพื่อยื่นหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและใช้ข่าวปลอมเป็นเครื่องมือสร้างโฆษณาชวนเชื่อ ขณะที่ผลการหารือเป็นไปในทิศทางบวก โดยรองข้าหลวงใหญ่ฯ แสดงความเข้าใจต่อท่าทีของไทยที่ยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ
นายมาริษ ได้นำเสนอหลักฐานทั้งในรูปแบบเอกสารและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อชี้ให้เห็นถึงการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ ประกอบด้วยประเด็นสำคัญดังนี้:
การละเมิดสิทธิมนุษยชน: กัมพูชาทำการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมายในเขตพื้นที่พลเรือน, การใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ และการสังหารพลเรือน
การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล: มีการรุกล้ำอธิปไตยด้วยการเข้ามาวางทุ่นระเบิดในอาณาเขตของประเทศไทย จนเป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา
การใช้สงครามข่าวสาร (Information Warfare): กัมพูชาใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง บิดเบือนข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สร้างความแตกแยกและปลุกปั่นให้สถานการณ์เลวร้ายลง รวมถึงการชักจูงให้แรงงานกัมพูชากลับประเทศจนเกิดปัญหาแรงงานผิดกฎหมายในภายหลัง
การกระทำที่ไม่เหมาะสมทางการทูต: กรณีที่สมเด็จฮุน เซน อัดเสียงการสนทนากับนายกรัฐมนตรีไทยและนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ
นายมาริษ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาไทยใช้ความอดทนอดกลั้นและพยายามแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาทวิภาคีตามกรอบข้อตกลง MOU43 ซึ่งเป็นกลไกที่สหประชาชาติให้ความสำคัญ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง การตอบโต้ทางทหารของไทยเกิดขึ้นหลังจากที่กัมพูชาโจมตีก่อน และเป็นการป้องกันตนเองในวงจำกัดตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ภายหลังการหารือ นายมาริษเปิดเผยว่า "เป็นสัญญาณบวกที่ดี" รองข้าหลวงใหญ่ฯ เข้าใจในบริบทต่างๆ และตระหนักว่าไทยปฏิบัติตามกติกาและกฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการกระทำของสมเด็จฮุน เซน และการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อบิดเบือนข้อมูล พร้อมแนะนำให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และป้องกันความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
นอกจากการเข้าพบรองข้าหลวงใหญ่ฯ แล้ว นายมาริษยังมีกำหนดการเดินสายพบหารือกับหน่วยงานสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (APMBC) หรืออนุสัญญาออตตาวา โดยจะเข้าพบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีฯ ครั้งที่ 22, หัวหน้าการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ, กลุ่มประเทศผู้บริจาคภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิด และภาคประชาสังคม เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการโน้มน้าวให้ประชาคมระหว่างประเทศกดดันให้กัมพูชากลับมาปฏิบัติตามพันธกรณีในอนุสัญญาออตตาวาและร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดต่อไป