เอสเอ็มอี-นักวิชาการ มองข้ามผลคดีนายกฯอิ๊งค์ หวังมีรัฐบาลที่ทำงานได้-อย่าขาดช่วงกระตุ้น ศก.
เอสเอ็มอี-นักวิชาการ มองข้ามผลคดีนายกฯอิ๊งค์ หวังมีรัฐบาลที่ทำงานได้-อย่าขาดช่วงกระตุ้น ศก.
จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ กำลังเป็นที่สนใจและติดตามของภาคเอกชนและนักวิชาการ อีกทั้งมีความเห็นในหลายแง่มุมจากกรณีดังกล่าว ดังนี้
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ความคาดหวังของนักธุรกิจ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ในแง่ทางการเมือง อยากให้การเปลี่ยนแปลงไปตามกรอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะลาออก หรือยุบสภา หรือเลือกตั้งใหม่ ควรเป็นไปตามขบวนการเปลี่ยนผ่านตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายหรือยืดเยื้อ การเปลี่ยนแปลงควรรอบคอบ รัดกุม และระมัดระวัง ที่อาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเปราะบางมาก และอัตราขยายตัวต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน ที่แต่ละประเทศขยายตัวเฉลี่ย 4% แต่ไทยขยายตัวแค่ 2.8%
สำหรับแง่เศรษฐกิจ ไม่อยากเห็นเกียร์ว่างของระบบการทำงานของหน่วยงานรัฐ รวมถึงองค์กรต่างๆ และยังต้องให้ความสำคัญต่อการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณคงค้างปี 2568 และงบประมาณใหม่ปี 2569 ต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปภารกิจเร่งด่วน ในด้านการฟื้นฟูกำลังซื้อ ลดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและต้นทุนการประกอบธุรกิจที่ทรงตัวสูง โดยเฉพาะการเร่งออกมาตรการหรือโครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอีและรายย่อยที่กำลังประสบปัญหารายได้หดตัวแต่ยังแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูง จากกำลังใช้จ่ายประชาชนที่หายไป หากไม่เร่งแก้ไขจะนำไปสู่การลดแรงงานหรือเลิกจ้างงานในที่สุด ที่สำคัญการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ต้องระมัดระวังเรื่องความโปร่งใสและป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย ขณะที่มาตรการเพื่อกระตุ้นใช้จ่ายภาคประชาชนหรือกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ยังต้องทำต่อเนื่อง และผลักดันให้เกิดความรวดเร็ว แม้ตอนนี้จะมีหลายมาตรการออกมาแต่ยังไม่ทันเหตุการณ์หรือตอบสนองได้รวดเร็วอย่างที่ควรจะเป็น อีกเรื่องที่ต้องเร่งทำตั้งแต่ตอนนี้คือการปฎิรูปพลังงานมุ่งพลังงานสะอาด ซึ่งรัฐต้องสนับสนุนการเงินการคลังที่จะช่วยภาระค่าใช้จ่ายการเปลี่ยนถ่ายด้วย รวมถึงแนวทางดูแลผลกระทบจากภาษีทรัมป์ก็ยังไม่ชัดเจน
“การสำรวจผู้ประกอบการไม่ว่าครั้งใด จะกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจไทยเป็นอันดับแรก และร้องขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไข ดังนั้น หากการเมืองยังไร้เสถียรภาพ และความเชื่อมั่นยังไม่ดีขึ้น จะยิ่งกดดันสภาพการทำธุรกิจ และกำลังใช้จ่ายหดหายลงไปเรื่อยๆ ซึ่งรับได้หากจะมีการเลือกตั้ง คาดหวังมีรัฐบาลที่ทำงานได้ต่อเนื่อง” นายแสงชัยกล่าว
นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้ความเห็นในประเด็นเดียวกันว่า ไม่ว่าผลคดีจะออกมาว่า ไม่โดน หรือโดน หรือเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ยังเป็นรัฐบาลเดิม ก็เหมือนเหล้าในขวดเดิม ก็จะไม่มีผลต่อการฟื้นตัวเร็วของเศรษฐกิจไทย เพราะระบบเศรษฐกิจไทยถูกกระทบหนักจากหลายปัญหาที่สะสมและตลอดกว่า 1 ปีของรัฐบาลนี้ ดังนั้น ส่วนตัวมองว่าการยุบสภาพและเลือกตั้งใหม่ น่าจะเป็นทางออกในเวลานี้ หากผลคดีไม่ได้ช่วยฟื้นความเชื่อมั่น
นายอัทธ์ กล่าวว่า ด้านเศรษฐกิจ ขยายตัวในอัตราต่ำ ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา เพราะการบริโภคและการซื้อขายตกต่ำ ย้อนกับไปต่อผู้ประกอบการและแรงงานใช้จ่ายได้น้อยลง จึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข ทั้งเร่งออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค และออกมาตรการผลกระทบจากภาษีทรัมป์ แม้การส่งออกไทยที่ผ่านมายังโตได้แต่โตเพราะทั่วโลกเร่งนำเข้าหนีภาษีทรัมป์ แต่อีก 1-2 เดือนข้างหน้า จะเริ่มเห็นผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ซึ่งวันนี้ยังไม่เห็นความชัดเจนของการเตรียมรับผลกระทบต่อภาคเกษตรและเอสเอ็มอีจากภาษีทรัมป์ หากไม่รีบเตรียมพร้อมภายใน 4-5 เดือนจากนั้น จะเห็นการปิดตัวและคนว่างงานสูงขึ้น นั่นหมายถึงต้นปีหน้า เริ่้มมีปัญหาแล้ว ดังนั้น การเมืองถือเป็นแกนกลางสำคัญต่อเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนและประเทศ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เอสเอ็มอี-นักวิชาการ มองข้ามผลคดีนายกฯอิ๊งค์ หวังมีรัฐบาลที่ทำงานได้-อย่าขาดช่วงกระตุ้น ศก.
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th