‘โอปอล สุชาตา’ ดีใจกลับไทยใช้เวลากับครอบครัว เติมพลังใจพร้อมลุยต่อเพื่อสังคม!
หลังจากกลับมาเมืองไทยก็ลุยงานเลยทันที สำหรับมิสเวิลด์ 2025 “โอปอล-สุชาตา ช่วงศรี” ได้สานต่อพันธกิจ กับโครงการ Opal for Her เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เรื่องมะเร็งเต้านม และกระจายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้เข้าถึงผู้คนอย่างกว้างขวาง พร้อมสู้เคียงข้างผู้ป่วยแบบสุดพลังอย่างที่เคยกล่าวไว้บนเวทีมิสเวิลด์นั้น
ล่าสุดในงาน “Opal for Her X มูลนิธิกาญจบารมี” โอปอลก็ได้มีโอกาสพูดเล่าเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว รวมถึงเล่าโมเมนต์ในการเดินทางไปต่างประเทศและกลับมาเมืองไทย ได้ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว
โดย โอปอล เผยว่า “ตอนนี้เรื่องมะเร็งใกล้ตัวกว่าที่เราคิดไว้เยอะ สำหรับตัวเราเองรู้สึกมาตั้งแต่ 5 ปีก่อนแล้ว ที่เราต้องผ่าตัดก้อนเนื้อ ก็เลยมองว่ามันใกล้ตัวมาตลอด เพียงแต่ว่าใกล้ตัวในเรื่องของการได้ยินและการรับรู้ แต่ไม่ได้ใกล้ตัวในเรื่องของความรู้ในการป้องกัน ตรวจสอบ และรักษา ก็เลยรู้สึกว่าตอนนี้ด้วยสภาพแวดล้อม อาหารการกิน และวิถีชีวิตหลายอย่างที่เปลี่ยนไป มันทำให้มะเร็งเกิดขึ้นในหลายคนมากขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญเลย คือเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยมากขึ้น และมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราควรจะต้องรู้เกี่ยวกับโรคนี้ให้มากขึ้น ทั้งในเรื่องของความเป็นไปได้ในการรักษาให้หายขาด เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ของประเทศเราดีมาก เหลือแค่การบอกต่อ กระจายข่าว และสนับสนุน และในเรื่องของการป้องกัน ควรหมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ
สำหรับการกลับมาบ้านในครั้งนี้ก็ดีใจมาก รอบนี้กลับมาแค่ 7 วันเอง ไม่นานมาก ความจริงไปแค่หนึ่งเดือน แต่รู้สึกเหมือนนานมาก ตั้งแต่ออกจากไทยก็ไปอินโดนีเซีย, แอฟริกา, อังกฤษ, สกอตแลนด์ และเวลส์ ตอนที่ไปอังกฤษจะเน้นไปที่ตัวเมืองเป็นหลัก ไปหลายที่ในระยะเวลาหนึ่งเดือนก็สนุกสมใจ ได้ทำหลากหลายอย่าง ทั้งเรื่องของมะเร็งที่เราสนใจ และได้เรียนรู้มากขึ้นว่าเขาทำงานอะไรกันอยู่ พอเราได้เห็นงานวิจัยของที่นั่นแล้วเอามาคุยกับสถาบันวิจัยของบ้านเรา ก็ทำให้เข้าใจวิธีการรักษาของเขามากขึ้น เพราะได้ไปดูการเพาะเซลล์ต่างๆ มาจากที่นั่น แล้วก็ดีใจที่เราได้เข้าใจมากขึ้น สนุกดีค่ะ
พอได้เดินทางไปในฐานะมิสเวิลด์ ก็เป็นอย่างที่คิดไว้ แน่นอนว่าความสนใจมันมากขึ้น คนให้ความสนใจมากขึ้น และที่สำคัญคือคนสนับสนุนในสิ่งที่เราทำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนด้วยกันเอง หรือผู้ใหญ่และหลายฝ่ายที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าไปเรียนรู้ เพราะหลายที่ที่โอปอลได้ไป หรือผู้ใหญ่หลายท่านที่โอปอลได้พูดคุยด้วย ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสจะได้เข้าไปพูดคุย และท่านทุกคนก็สละเวลามาให้ โอปอลดีใจที่ได้เป็นตัวแทนไปพูดคุยแทนทุกคน และหวังว่าจะได้บอกกล่าวให้ทราบถึงวิวัฒนาการของการรักษามะเร็งในปัจจุบันกันอย่างทั่วถึง”
โอปอล เผยต่อว่า “โดยการเดินทางไปแต่ละประเทศ ก็ต้องมีการปรับตัวบ้าง แต่ละที่ที่ไปทุกประเทศก็จะมีเอกลักษณ์และแนวทางการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งเราอาจจะต้องปรับตัวและใช้เวลาในการทำความรู้จักคนท้องถิ่นนิดหน่อย ถ้าที่ไหนเราไปในระยะเวลาสั้นๆ เราก็อาจจะต้องสังเกตการณ์เยอะหน่อย เพื่อที่จะได้เข้าใจและอยู่กับพวกเขาได้อย่างเข้าถึงวัฒนธรรม แต่ถ้าที่ไหนเราใช้เวลาอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง เราก็จะเข้าใจมากขึ้นเหมือนได้สัมผัสกับพวกเขามากขึ้น สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในการเดินทางในฐานะมิสเวิลด์คือ พอเราไปในฐานะมิสเวิลด์ คนก็ให้ความสนใจและสนับสนุนเรามากขึ้น ตอนที่โอปอลไป เราดีใจที่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของเรา และความจริงใจที่เราอยากจะทำในสิ่งนี้ ขณะเดียวกันโอปอลก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจจากทุกคนที่ได้พบ ทุกคนอยากที่จะสนับสนุนและช่วยเหลือเราจริงๆ ทุกคนทำงานร่วมกับเราและพูดคุยกับเราด้วยความเข้าใจว่าเราเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้เท่าคุณหมอ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ หรือบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกวัน ทุกคนก็พร้อมที่จะอธิบายให้เราเข้าใจ เพื่อที่เราจะสามารถนำไปส่งต่อให้คนทั่วไปเข้าใจได้เหมือนกัน
พอได้ทำงานนี้ ถามถึงความยากก็มีค่ะ นอกจากเดินทางแล้วก็ขนกระเป๋ายากมาก ชุดก็หนัก ในส่วนของการทำงานนอกจากเรื่องของวัฒนธรรมที่เราต้องทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยน ก็อาจจะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจในสิ่งที่เราทำ เพราะเรื่องมะเร็งไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าใจ เราเลยอยากเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัย กับประชาชนคนธรรมดา ที่เราได้ทำความเข้าใจมาให้แล้วและกลั่นกรองมาให้แล้ว เราเลยมาบอกต่อในภาษาที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่าย และในการทำโครงการแน่นอนว่าช่วงแรกเราอาจจะแตะที่ผิวน้ำ พอได้มีโอกาสลงลึกมากขึ้นเราก็จะรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เราต้องทำอีกเยอะและลงลึกอีกเยอะ พอเราเป็นมิสเวิลด์ เราก็ต้องทำงานร่วมกับประเทศอื่นๆ ก็มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้มากขึ้นเป็นหลายเท่า ทั้งของประเทศเราและประเทศเขา แล้วก็จะต้องหาจุดเชื่อมโยงว่าเราจะประสานงานในการช่วยกันได้อย่างไรบ้าง มันก็ต้องบาลานซ์ระหว่างประเทศเราเองกับต่างประเทศที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน เพราะทางมิสเวิลด์เองก็อยากให้เรากลับมาดูแลคนที่บ้านด้วย
ส่วนโมเมนต์วันแม่ก็ไม่ได้เจอกันนานก็ดีใจ ประมาณเดือนนิดๆ ที่ไม่ได้เจอ แต่ความจริงก็คุยกับท่านผ่านทางโทรศัพท์อยู่ตลอด ดีใจที่มาถึงสองวันแรกก็ได้ใช้เวลาด้วยกัน คือโอปอลได้พักด้วย เพราะก่อนที่จะบินมาไทยแต่ละเมืองเราใช้เวลาแค่วันเดียว โอปอลไปถึงก็ทำงาน เช้าวันรุ่งขึ้นก็บินไปอีกที่หนึ่ง ก็เลยจะเหนื่อยกับการเดินทางนิดหนึ่ง ก็ดีที่ได้เวลาพักผ่อน ได้ไปสปากับคุณแม่แล้วก็ได้ใช้เวลากับท่าน ก็ขออาหารฝีมือแม่ มีทั้งแม่แท้ๆ และแม่กะเทย ซึ่งก็คือพี่ๆ ในทีม ในช่วงที่โอปอลไม่อยู่ คุณแม่ก็อยู่กับพี่ๆ ในทีมบ่อย เหมือนเป็นตัวแทนของโอปอล พวกเขาก็พูดคุยทำอาหารด้วยกันบ่อย พอเรามาพวกเขาก็จัดชุดใหญ่ให้ รวมๆ แล้วมีอาหารเหนือเพราะคนในทีมเป็นคนเหนือ เรียกว่าครบ 4 ภาคเลย คุณแม่ก็จะเป็นคนรับผิดชอบอาหารใต้ ส่วนในทีมก็จะเป็นอาหารเหนือ พอได้กลับไทยแล้ว นอกจากเวลาทำงาน เราก็มีเวลาส่วนตัวบ้าง รอบนี้ก็คือมีเวลาเยอะอยู่ ก็ยังพอได้เจอครอบครัว ได้ออกไปทานข้าว ถือว่ากำลังดี“
โอปอล ได้เล่าต่อว่า "ส่วนพรุ่งนี้ (17 ส.ค.) เดี๋ยวจะมีบินไปอินเดียก่อน เพราะเดี๋ยวจะต้องไปคุยงานและเตรียมงานนิดหน่อย อีกไม่นานนี้ ก็จะเป็นเดือนที่รณรงค์มะเร็งเต้านมแล้ว ทางอินเดียเองหลายคนก็น่าจะทราบว่าตอนที่โอปอลเริ่มประกวด เขาก็จะมีความสนใจในเรื่องของมะเร็งเต้านมเป็นพิเศษ กำลังจะจัดงานวิ่งระดมทุนเพื่อช่วยเหลือมะเร็งเต้านมในประเทศอินเดีย และอาจจะต้องบินไปคุยงานและเตรียมงานเรื่องนั้น และอาจจะแวะกลับมาไทย อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ต่อจากนี้ก็จะเป็นอังกฤษและอเมริกา แล้วก็จะเริ่มเดินทางแล้วค่ะ
ซึ่งการไปรอบนี้น่าจะยาวจริง ถามว่าฟิตร่างกายยังไง เพราะเราต้องนั่งเครื่องตลอด ก็พยายามนอนให้พอและทำให้ตัวเองสดชื่น เพราะเวลาเดินทางเยอะๆ เราก็จะไม่ค่อยสดชื่น ต้องเตือนตัวเองให้ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวคนจะบอกว่าเรารณรงค์แต่เรื่องสุขภาพ แต่ตัวเองกลับลืมไปแล้ว ถามว่าเดินทางไปต่างประเทศแล้วคิดถึงอาหารไทยบ้างไหม ตอนอยู่อังกฤษก็สั่งอาหารไทยทุกวันเลย ส่วนใหญ่ที่ต่างประเทศเขาก็จะทำให้ต่างชาติทาน ก็จะมีแต่เมนูเดิมๆ ที่ต่างชาติทานได้ เช่น แกงเขียวหวาน ส้มตำก็พอมี แต่จะไม่มีปลาร้า และเป็นพวกผัดต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะสั่งพวกที่เผ็ดสุดในร้าน รอบนี้ไม่ได้พกไปเพราะกระเป๋าแน่นมาก แต่รอบที่จะบินนี้คิดว่าน่าจะต้องมีแล้ว เหมือนพอเราไปอยู่นานแล้วไม่ได้ทานเผ็ดเลย ความเผ็ดมันก็ลดลง กลับมาก็จะทานได้ไม่เต็มที่
ก็ฝากภารกิจของมิสเวิลด์ด้วยนะคะ นี่ก็เพิ่งเดือนสองเดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง ก็รู้สึกว่ามีการทำอะไรหลากหลายอย่างมาก แต่ในอนาคตก็จะทำให้มากกว่าเดิมอีกและเดินทางไปหลายที่มากกว่าเดิม ยังไงก็ฝากพี่ๆ ทุกคนติดตามด้วย เพราะเราเชื่อว่าในระยะเวลาหนึ่งปีที่เราดำรงตำแหน่ง เราจะได้ทำในโครงการนี้อย่างเต็มที่จริงๆ รวมถึงได้เริ่มทำโครงการอื่นที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้วยเช่นกัน ก็คิดว่าสิ่งที่ทำจะเป็นประโยชน์ให้กับคนหลายคนมากๆ ทั้งบุคลากรระหว่างประเทศ หรือในระดับประชาชนระหว่างประเทศ ก็ฝากทุกคนติดตามและใส่ใจสุขภาพดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ"