สนามบินอู่ตะเภา ติดหล่มรัฐบาลล่ม ขีดเส้นตาย 1 เดือน หากตกลงไม่ได้ จ่อเลิกสัญญา
วันนี้(วันที่ 1 กันยายน 2568) นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA กล่าวว่า ในเย็นวันนี้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของ UTA จะมีการประชุม เพื่อหารือถึงการพัฒนาโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก
เนื่องจากในขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ส่งผลให้เรื่องที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี จะนำเรื่องเข้าครม.ให้อีอีซี สามารถเข้ามาแก้ปัญหาในโครงการนี้
หลังจาก UTA ขอเจรจาเพื่อให้ดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ให้สมเหตุสมผล และสอดรับกับสถานการณ์การเติบโตของผู้โดยในปัจจุบันและการขยายตัวในอนาคต ที่ในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถเข้าครม.ได้ และยังไม่รู้ว่าจะเข้าครม.ได้เมื่อไหร่
ดังนั้นในการประชุมของ UTA ในเย็นวันนี้ ผม จะเสนอว่าจะให้เวลาควรจะให้เวลาอีอีซี 1 เดือน เพื่อให้มีครม.ชุดใหม่ และวามารถนำเรื่องเสนอ ครม.ใหม่ พิจารณาได้
ซึ่งถ้าผ่านครม.แผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาก็น่าจะเดินต่อได้ เราต้องให้เวลาเพราะโครงการนี้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ทำให้แม้ว่าก่อนหน้านี้อีอีซีได้ขอขยายระยะเวลาส่งหนังสือเริ่มงาน ( NTP: Notice to Proceed) มา 3 รอบแล้ว แม้จะเลยเวลามาแล้ว แต่เราก็ยังให้เวลาอยู่
ทั้งนี้การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่ UTA มีการหารือกับอีอีซี คือ เราไม่ต้องการรอโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จึงอยากให้มีการตัดเงื่อนไขเชื่อมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ออกไป นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์แก่ภาคเอกชน เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี การให้ใบอนุญาตร้านอาหารและเครื่องดื่มให้สามารถขายแอลกอฮอล์ได้ การอำนวยความสะดวกเรื่องใบขออนุญาตทำงาน
รวมทั้ง UTA ได้ขอให้มีการปรับขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา ในเฟสแรก ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จากผลกระทบของโควิด-19 และการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเต็มเฟสของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดย UTA ขอลดการลงทุนสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ จากเดิมรองรับผู้โดยสารเฟสแรก ที่ 12 ล้านคน เป็น 3 ล้านคน
จากนั้นเมื่อผู้โดยสารขยับมาใช้อาคารผู้โดยสารเพิ่มเป็น 70-80% ก็จะขยายเฟสอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยในท้ายที่สุดก็จะเป็นไปตามแผน คือ ภายในสัญญา 50 ปี ก็จะขยายอาคารผู้โดยสาร จนทำให้สนามบินแห่งนี้รองรับเพิ่มเป็น 60 ล้านคน
"หลังโควิด-19 ปัจจุบันสนามบินอู่ตะเภา มีผู้โดยสารอยู่ที่ราว 4 แสนคน อาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบันรองรับผู้โดยสารได้ 2 ล้านคน ถ้า UTA สร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เฟสแรก รองรับได้ 12 ล้านคนตามแผน สนามบินก็จะโหรงเหรง และยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เราจึงเสนอปรับการลงทุนในเฟสแรก ให้เริ่มต้นที่ 3 ล้านคน และทยอยขยายตามดีมานต์ผู้โดยสารที่เติบโตสอดรับกับความเป็นจริง
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเรามีการหารือกับอีอีซีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าครม.พิจารณาเงื่อนไขที่ UTA เสนอได้ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาก็พร้อมเดินหน้าต่อ แต่ถ้าท้ายสุดหากยังไม่ได้ข้อยุติ ทาง UTA ก็จะยกเลิกสัญญาฯ เพราะถือว่าภาครัฐทำผิดข้อกำหนด และยืนยันเรียกร้องอีอีซีให้จ่ายเงินคืนให้ UTA จำนวน 4,000 กว่าล้านบาท ตามที่เอกชนได้ลงทุนไปแล้วในโครงการนี้