“กระทรวงการต่างประเทศ”แจง MOU 43 ไม่ใช่การเสียดินแดน
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกร้องจากพรรคการเมืองบางกลุ่มให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 โดยยืนยันว่า การยกเลิก MOU ในขณะนี้ จะทำให้ไทยเสียเปรียบและเข้าทางกัมพูชา ซึ่ง MOU 43 และ 44 เป็นเพียงกรอบเจรจา ไม่ใช่สัญญาเสียดินแดน
นายรัศม์ ระบุว่า MOU ทั้งสองฉบับ ไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายของการเจรจา แต่เป็นเพียงกรอบการเจรจาที่สองประเทศตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดกติกาในการพูดคุย ท้ายที่สุด ผลลัพธ์ของการเจรจาจะต้องนำเข้าสู่การเห็นชอบของรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลทางกฏหมายแท้จริง รัฐบาลหรือใครจะไปตกลงเองตามลำพังไม่ได้
"MOU 43 เป็นการกำหนดกติกาว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง มีวาระอะไรบ้าง โดยมีสาระสำคัญคือ การแก้ปัญหาต้องเป็นการเจรจาทวิภาคีโดยสันติ มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกหลักในการคุย และระบุเอกสารอ้างอิงที่จะใช้ร่วมกัน" นายรัศม์ กล่าว
นายรัศม์ อธิบายว่า เคยมีการประชุม JBC กันมาก่อนที่จะมี MOU แต่การเจรจาเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง จึงสร้าง MOU 43 ขึ้นมาเพื่อให้การพูดคุยมีแบบแผนที่ชัดเจนขึ้น อย่างำรก็ตาม การยกเลิกสามารถทำได้ แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประกาศยกเลิกแล้วจะมีผลทันที
นายรัศม์ ย้ำว่า ปัจจุบันกัมพูชาเป็นฝ่ายที่กำลังละเมิดข้อตกลงใน MOU 43 อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าห้ามเปลี่ยนแปลง หรือความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจาทวิภาคีตามกรอบ JBC เพื่อนำเรื่องไปสู่เวทีอื่น เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยิ่งยกเลิกก็ยิ่งเข้าทางเขา ดังนั้น MOU 43 คือเงื่อนไขสำคัญที่ยังดึงให้กัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจากับไทย
ทั้งนี้ แม้จะชื่อว่า MOU แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศมีสถานะเทียบเท่าสนธิสัญญาที่มีพันธกรณีผูกมัด ทุกวันนี้กัมพูชาพยายามจะหนีจากพันธกรณีนี้ ดังนั้น หากเราเป็นฝ่ายยกเลิก MOU ตอนนี้ จะเข้าทางเขา เท่ากับเราปลดปล่อยเขาออกจากพันธกรณีที่ต้องคุยกับเราในโต๊ะเจรจา การที่เรายังยืนยันใน MOU นี้ ก็เพื่อให้โลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ไม่ทำตามข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม รู้สึกแปลกใจที่เห็นบางพรรคออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ ทั้งที่พรรคดังกล่าวที่เคยอยู่ร่วมในรัฐบาล ก่อนหน้าร่วมสิบปีที่แล้วก็ไม่เคยคัดค้านอะไร แสดงว่าย่อมเห็นด้วย แต่วันนี้มาเปลี่ยนท่าทีแบบไร้หลักการ ทำให้น่าสงสัยในเจตนาและความบริสุทธิ์ใจ