หุ้นไทยเปิดเช้าบวก 7.05 จุด กระแสเงินทุนยังไหลเข้า งบบริษัทจดทะเบียนดีกว่าคาด
ความเคลื่อนไหว "หุ้นไทย" ภาคเช้า ณ วันที่ 6 ส.ค. 2568 เปิดตลาดปรับขึ้น 7.05 จุด หรือ 0.57% อยู่ที่ 1,254.01 จุดมูลค่าการซื้อขาย 3,581.02 ล้านบาท
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวันนี้ ยังคงปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวปรับตัวขึ้น อาทิ AOT และ MTC ก็ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น เนื่องจากผลประกอบการค่อนข้างดีและทำสถิติสูงสุดใหม่
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2/68 ของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดมีความคาดหวังค่อนข้างต่ำ โดยคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะลดลงทั้งในแบบ YoY และ QoQ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร มีผลประกอบการที่ดีกว่าคาด และ BH ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ก็มีผลประกอบการที่ดีกว่าคาดเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังพบแรงซื้อในหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์อื่นๆ โดยนักลงทุนอาจคาดหวังว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับลดลงด้วย ซึ่งสอดคล้องกับบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ปรับตัวต่ำลง ทำให้ฟันด์โฟลว์ยังคงมีโอกาสไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หากวันนี้ดัชนีหุ้นไทยสามารถปรับตัวขึ้นไป ทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1255 จุด นักลงทุนควรระมัดระวัง แนะนำให้ทยอยขายทำกำไร หรือลดสัดส่วนการลงทุนบางส่วน หากดัชนีขึ้นไปเหนือระดับ 1255 จุด ในทางกลับกัน หากดัชนีไม่หลุดระดับ 1230 จุด นักลงทุนสามารถหาจังหวะตั้งรับได้
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาและอาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการปรับขึ้นของตลาด คือ ความกังวลในเรื่องการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ คดีความของแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งศาลอาจมีนัดวินิจฉัยในช่วงกลางเดือนนี้ ปัจจัยนี้จะเป็นตัวที่อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดได้
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ รายงานดัชนี ISM ภาคบริการ เดือน ก.ค. ที่ระดับ 50.1 จุด ลดลงจากเดือน มิ.ย. ที่ 50.8 จุด และต่ำกว่าคาดที่ 51.5 จุด โดยแรงกดดันจากการจ้างงานที่หดตัวต่อเนื่อง 4 ใน 5 เดือนล่าสุด ขณะที่กิจกรรมธุรกิจ และ คำสั่งซื้อใหม่ ขยายในอัตราที่ลดลงโดยรวมถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับ ISM ภาคการผลิตที่ออกมาในวันศุกร์ที่ผ่านมาที่แผ่วลงเช่นเดียวกัน สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะสั้นควรระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ส่วนด้านราคาน้ำมันดิบโลกยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกัน โดย Brent ปิดที่ 67.64 เหรียญต่อบาร์เรล ต่ำสุดรอบ 5 สัปดาห์ แรงกดดันหลักจากความกังวลอุปทานเพิ่ม หลัง OPEC+ เดินหน้าขยายกำลังการผลิต ท่ามกลางอุปสงค์ที่ชะลอตัว
ด้านปัจจัยในประเทศ ยังได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสู่ระดับ 32.3 บาทต่อดอลล่าร์ ส่งผลให้ SET กลับมาปิดเหนือระดับ EMA200 วันได้อีกครั้ง ผสานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ทยอยออกมาแล้ว ดีกว่าคาดเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม โดยกลยุทธ์ยังคงเน้นย่อสะสมหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการเด่น และมี Valuation น่าสนใจ ส่วนด้านตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญวันนี้ แนะติดตาม การรายงานเงินเฟ้อไทย เดือน ก.ค. คาด CPI ที่ -0.4%y-y และ Core CPI ที่ +0.93%y-y วันนี้ Sideways ในกรอบ 1230-1260 จุด
สำหรับหุ้นแนะนำ MTC รายงานกำไรไตรมาส 2/68 ที่ 1,647 ล้านบาท +14%y-y, +5%q-q ทำจุดสูงสุดใหม่ หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยที่โตต่อเนื่อง ผสาน ECL ปรับลดลงเล็กน้อย y-y ส่วนด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงดีขึ้น โดย NPL ratio ไตรมาส 2/68 ลงสู่ระดับ 2.62% จาก 2.69% ในไตรมาส 1/68 ปัจจุบันเทรดที่ PE 12.2 เท่า และ PBV 1.9 เท่า ถือว่าValuation ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ราคาเป้าหมาย 49.00 บาท
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พายสหรัฐฯ รายงานดัชนี ISM PMI ภาคบริการที่ระดับ 50.1 แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 51.5 รายละเอียดภายในพบว่าคำสั่งซื้อใหม่ การจ้างงานต่ำกว่าระดับ 50 แต่อย่างไรก็ตามมีบางอุตสาหกรรมที่การจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ อสังหาฯ ขนส่ง ค้าปลีก การเงิน และข้อมูลข่าวสาร โดยรวมแล้วทำให้ US Bond Yield ปรับขึ้นมาเล็กน้อย แต่ Dollar Index ทรงตัว
ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็ได้เผยดุลการค้าพบว่าขาดดุลที่ 60.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ขาดดุล 62.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หลังจากก่อนหน้าปรับขึ้นมาสะท้อนปัจจัยหนุนเกี่ยวกับเจรจาการค้าไปแล้ว ปัจจุบันนักลงทุนกำลังให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่ทยอยรายงานออกมา
ด้านปัจจัยในประเทศกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง ม.ค.-3 ส.ค. พบว่าสะสมที่ 19.5 ล้านราย -6.5%YoY โดยนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 2.73 ล้านราย และมาเลเซียเป็นอันดับสองที่ 2.7 ล้านราย แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณารายสัปดาห์พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 9.7 หมื่นราย -5.2%WoW มาเลเซีย -8.6%WoW อินเดีย -13.9%WoW ทำให้ภาพรวมในสัปดาห์ก่อน -5.2%WoW เมื่อผสานกับจำนวนนักท่องเที่ยว YoY ที่ยังติดลบ จึงสร้างแรงกดดันเชิงจิตวิทยาต่อทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน
วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1240-1260 จุด ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้ารับปัจจัยบวกเจรจาการค้าแต่หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ แย่กว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ ทำให้กระแสเงินไหลกลับมายังเอเชีย สอดคล้องกับการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ Month To Date ซื้อสะสมสุทธิ 2.77 พันล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้วย Valuation ที่เริ่มแพง ล่าสุดซื้อขายที่พีอี 13.8 เท่า ประกอบกับยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นยัง Trading ได้เกาะไปกับกระแสเงินทุนแต่ก็ไม่ประมาทกับ Valuation ที่สูง โดยเน้นเลือกหุ้น Laggard Play วานนี้เริ่มเห็นหุ้นที่อยู่โซนล่างถูกหยิบมาเก็งกำไร แนะนำ CPALL KTB KBANK BDMS MINT BJC ICHI